ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ 3 ราย เดินทางมาจากตปท.

  • ศบค.สรุปยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย วันนี้ (11.30 น.)
  • ผู้ติดเชื้อสะสม 3,320 คน (+3)
    • เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ = 0 ราย
    • เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) = 3 ราย
  • ไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศติดต่อกันเป็นวันที่ 70
  • รักษาหายแล้ว 3,142 คน (+0)
  • ผู้ป่วยรักษาอยู่โรงพยาบาล 120 คน (+3)
  • เสียชีวิตสะสม 58 คน (+0)

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ซึ่งเป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้าพักใน State Quarantine ส่วนในประเทศยังคงไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,320 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,444 ราย และตรวจพบใน State Quarantine จำนวน 383 ราย จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,142 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 120 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 58 ราย

ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 26 ปี อาชีพรับจ้าง และชายไทย อายุ 43 ปี อาชีพพนักงานขับรถ เดินทางถึงไทยวันที่ 29 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine จ.ชลบุรี และตรวจหาเชื้อเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ

อีก 1 ราย เดินทางกลับมาจากประเทศอินเดีย เป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 19 ปี เดินทางมาถึงไทยวันที่ 30 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่กทม. และตรวจหาเชื้อในวันที่ 1 ส.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ

อีก 1 ราย เดินทางกลับมาจากประเทศอินเดีย เป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 19 ปี เดินทางมาถึงไทยวันที่ 30 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่กทม. และตรวจหาเชื้อในวันที่ 1 ส.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ที่เดินทางกลับมาจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดินทางกลับมาสะสม 1,508 ราย พบป่วย 27 ราย และอินเดีย เดินทางกลับสะสม 3,065 พบป่วย 23 ราย

สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยรายใหม่ของไทย สถิติเฉลี่ยรายสัปดาห์ ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คือ เดือนกรกฎาคม พบว่า เฉลี่ยพบผู้ป่วยรายใหม่ 30 รายต่อเดือน เกิดจากมาตรการที่ดี ในการจัดสถานกักกันผู้เสี่ยงโรคฯ และช่วงอายุผู้ป่วยส่วนใหญ่ ยังอยู่ในช่วง 20-39 ปี โดยเพศชายและหญิงมีอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน

ด้านสถานการณ์โลก มีผู้ป่วยยืนยัน 18,234,936 ราย เสียชีวิต 692,794 ราย ประเทศสหรัฐอเมริกายังมีผู้ป่วยสะสมเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือบราซิล อินเดีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ส่วนไทยยังอยู่อันดับ 110

“ตอนนี้ผู้ป่วยวันละ 2 แสนกว่าๆ รายขึ้นไปตลอด เรียกว่าแค่ 3-4 วัน ก็ล้านนึงแล้ว จากก่อนหน้านี้ใช้เวลาเป็น 10 วันกว่าจะถึง 1 ล้านราย”

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเวลานี้บางประเทศมีการแพร่ระบาดระลอก 2 และระลอก 3 เพื่อเรียนรู้ว่าประเทศเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤติเหล่านี้มาได้อย่างไร อย่างกรณีของเวียดนามพบผู้เสียชีวิตจากโควิดรายที่ 6 มีอายุตั้งแต่ 53-86 ปี ซึ่งทุกรายมีโรคประจำตัว และมียอดผู้ติดเชื้อในประเทศตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.รวม 182 ราย หลังจากที่ไม่พบผู้ติดเชื้อมามากกว่า 3 เดือน โดยเป็นผู้ติดเชื้อที่เมืองดานัง 120 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยรวมของเวียดนามอยู่ที่ 621 ราย และทำให้ทางการเวียดนามต้องกักตัวประชาชนจำนวนมากกว่า 1 แสนคน

ขณะที่ฟิลิปปินส์ แพทย์และพยาบาลมากกว่า 1 ล้านคนออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีกำหนดมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดครั้งใหม่และรอบนอกกรุงมะนิลา โดยระบุว่าฟิลิปปินส์กำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยบุคลากรทางการแพทย์ 80 กลุ่มของฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นตัวแทนแพทย์ 8 หมื่นคนและพยาบาล 1 ล้านคนได้ออกมาเตือนว่าว่าระบบสาธารณสุขจะล้มเหลว เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องหากไม่มีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดในกรุงมะนิลาและในจังหวัดใกล้เคียง

ฮ่องกง กำลังเผชิญกับโควิดระลอก 3 โดยพบผู้ติดเชื้อเกินร้อยรายมา 12 วันต่อเนื่อง และเป็นการติดเชื้อภายในฮ่องยอดรวมผู้ป่วยอยู่ที่ 3,512 ราย ผู้เสียชีวิรวม 34 ราย โดยทางการฮ่องกงต้องสร้างโรงพยาบาลสนามใกล้กับท่าอากาศยาน และรัฐบาลจีนต้องส่งทีมเข้าไปช่วยตรวจโรค โดยสาเหตุของการแพร่ระบาดระลอก 3 นี้ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ามาจาก 3 ปัจจัยคือ 1.มาตรการที่ให้กักตัวที่บ้าน 2.การที่รัฐบาลยกเว้นการตรวจโรคและการกักตัวให้กับบุคคลหลายกลุ่ม เช่น ลูกเรือที่มากับสายการบิน และเรือสินค้า รวมทั้งผู้บริหารในตลาดหลักทรัพย์ และคนงานต่างด้าวที่มาทำงานบ้าน รวมจำนวนแล้วมากกว่า 2 แสนคน 3.การที่ประชาชนผ่อนคลายวินัยและไม่ระมัดระวังในการป้องกันโรค ไม่ใส่หน้ากากอนามัย และไม่เว้นระยะห่างในการทำกิจกรรมทางสังคม

โฆษก ศบค. กล่าวว่า ศบค. ชุดเล็กได้นำตัวเลขของต่างประเทศมาพิจารณาร่วมกับทุกกระทรวง ซึ่ง ศบค. กำลังจะพัฒนามาตรการระดับ 4 ที่เข้มข้น โดยจะใช้สีขาว เขียว เหลือง ส้ม แดง เป็น 5 ระดับ จะประกาศให้ชัดเจนในแต่ละระดับ ขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการเพื่อใช้เป็นมาตรการเดียวกัน โดยจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนรับทราบและให้ความร่วมมือต่อไป

สำหรับเที่ยวบินนำคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศวันนี้ มีผู้เดินทางกลับรวม 207 คน วันพรุ่งนี้ 201 คน

นอกจากนี้ จะมีเที่ยวบินที่นำทหารสหรัฐอเมริกาเข้ามาฝึกในไทย เช้าวันนี้เวลา 07.00 น. ทหารสหรัฐอเมริกา 71 นาย เดินทางจากกวม โดยเที่ยวบิน OAE6555 เช่าเหมาลำ มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา มีการผ่านการคัดกรองตามมาตรการของ ศบค. และทั้งหมดเข้าพักที่ รร.คอนราด ซึ่งเป็น Alternative State Quarantine (ASQ) และเป็นการเข้าร่วมการฝึก SFAB SMEE ของกองทัพบก

เวลา 18.00 น. กำลังพล 32 นาย จากโยโกตา ประเทศญี่ปุ่น โดยกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา RCH-552 มาถึงสนามบินอู่ตะเภา เตรียมเข้าร่วมการฝึก Balance Torch ของกองทัพบก และเข้าพักที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น ASQ เช่นกัน

และ วันที่ 4 ส.ค. 2563 เวลา 12.15 น. กำลังพล 7 นาย เดินทางจากญี่ปุ่น มายังสนามบินอู่ตะเภา โดยกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา TREK-948 ร่วมการฝึก HMA 4 นาย และการฝึก Balance Torch 3 นาย เข้าพักใน ASQ ที่โรงแรมอนันตรา สยาม และโรงแรม The Idel

“ก่อนหน้านี้ได้เลื่อนการฝึกออกไป 2 พันกว่านาย แต่ตอนนี้เข้ามาประปราย เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องดูแลตามมาตรการต่อไป ซึ่งในส่วนของรายละเอียดกองทัพบกจะเป็นผู้ชี้แจงเพื่อความอุ่นใจสบายใจของประชาชน…ทุกอย่างดำเนินการอย่างรัดกุมมากๆ”

นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

โฆษก ศบค. กล่าวถึงการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ รวมทั้ง เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ พร้อมครอบครัวเดินทางเข้าไทยได้แล้วนั้น กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าจะต้องตรวจตั้งแต่หน้าด่าน ถ้าเป็นผลบวกจะไม่ให้เข้าตั้งแต่แรก

“แต่ที่เรากังวลใจคือเรื่องแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาผิดกฎหมาย ดังนั้น ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนช่วยกันสอดส่อง ถ้าพบเจอก็ขอให้แจ้งทางการแต่ละจังหวัด ขณะเดียวกันทราบว่าแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในประเทศต้องการเดินทางกลับบ้านเพราะไม่มีงานทำ ซึ่งมีจำนวนมาก ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ต้องนำเข้าแรงงาน แต่ใช้แรงงานเหล่านี้มาขึ้นทะเบียนให้มีงานทำต่อ…ผู้ที่ต้องการแรงงานก็จะได้แรงงานที่ปลอดเชื้อ ส่วนผู้ที่เป็นแรงงานก็จะได้ทำงานทำเงินต่อไป”

ส่วนการผ่อนคลายกิจกรรมและสถานที่เพิ่มเติมนั้น มอบหมายให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มี พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตรวจสอบกลั่นกรองและเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาผ่อนคลายหรือกระชับมาตรการที่ใช้บังคับได้ตามที่เห็นสมควร

สำหรับการเปิดเรียนตามปกตินั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เนื่องจากมีโรงเรียนจำนวน 4,500 แห่งต้องสลับเรียนเพราะข้อจำกัดเรื่องความแออัดของชั้นเรียน วันนี้กระทรวงศึกษาธิการจะประชุมกัน เพราะมีโรงเรียนที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และยังมีโรงเรียนวัด โรงเรียนในพุทธศาสนา ที่สลับกันเรียน และอาจนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาเฉพาะกิจฯ ในสัปดาห์หน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ส.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top