นายกฯ ยันแก้ปัญหาชุมนุมอย่างละมุนละม่อม เมิน 105 นักวิชาการลงชื่อหนุนม็อบ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาที่มีการโพสต์ลงสื่อโซเชียลโดยอ้างว่ารัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ติดตามเพื่อที่จะจับกุมว่า การโพสต์ต่างๆ ใครก็เขียนได้ แต่ถามว่ามีการติดตามจับกุมแล้วหรือไม่ และหากทำความผิดละเมิดกฎหมายแล้วจะทำอย่างไร เพราะยังมีประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย หากรัฐบาลไม่บังคับใช้กฎหมาย ก็มีสองทางเสมอ รัฐบาลต้องระวังอย่างยิ่ง

“ก็ขออย่าใช้โอกาสนี้ในการทำบ้านเมืองไม่สงบ ต้องดูหลายอย่างไปดูข้อเท็จจริง มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ บริสุทธิ์ใจหรือไม่ ซึ่งการชุมนุมตามสิทธิพื้นฐานนั้น ถามว่าการชุมนุมได้ แต่ละเมิดกฎหมายได้หรือไม่ ทุกอย่างมีกฎหมายอยู่แล้ว ทำอะไรขอให้ใช้ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ทุกคนทราบดี ผมก็ไม่อยากไปพูดจาให้เกิดปัญหาอีก ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการมหาวิทยาลัย 105 คนลงชื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาว่า เป็นเรื่องของท่าน และทั้งประเทศไม่ได้มีนักวิชาการแค่ 105 คน แต่ยังมีคนเก่งเป็นพันเป็นหมื่นคน ข้อสำคัญต้องไม่ไปก้าวล่วงหรือล่วงละเมิดเด็ดขาด ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่ใช่ประเทศไทย

“ผมไม่แปลกใจกับรายชื่อที่ได้เห็น เพราะแนวคิดของเขา การขับเคลื่อนในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้ แต่หมิ่นเหม่เกินไปในขณะนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ก็รับไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ส่วนการจัดกิจกรรมนั้นต้องไปตรวจสอบว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากมาจากไหน ต้องมีการตรวจสอบทั้งหมด และเป็นเรื่องกลไกตามปกติ ตนคงไม่ต้องไปสั่ง

“คงไม่สามารถบังคับใครได้อยู่แล้ว การจะคิดอะไรต่างๆ ต้องให้หลักคิด ให้แนวคิดที่ถูกต้องเป็นไปได้และปฏิบัติได้ โดยเฉพาะความเดือดร้อนของประชาชนในวันนี้ไม่ใช่มีเรื่องนั้นเรื่องเดียว ที่ขอร้องมาแต่ยังมีเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องโควิด และเรื่องสุขภาพ ประเทศไทยยังมีปัญหาต่างๆ อีกเยอะแยะไปหมด ความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ การเพิ่มรายได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พร้อมระบุว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศ 60 กว่าล้านคนกำลังเดือดร้อนอยู่วันนี้ และเด็กก็กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นขอให้แสดงความคิดเห็นในทางที่บวกจะดีเสียกว่า เพราะจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย และจะมีแต่ความขัดแย้งตลอดเวลา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 63)

Tags: , ,
Back to Top