กลุ่มปตท.ขานรับนโยบายพลังงาน เร่งจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจ

หลังโควิดคลี่คลายหนุนธุรกิจดีขึ้น

น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หรือโออาร์ ในกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือกับนโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่ขอให้พิจารณาเร่งการลงทุนเพื่อให้เกิดการจ้างงานเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

โดยขณะนี้แผนการลงทุนของโออาร์ยังคงเดินหน้าตามแผนที่จะขยายร้านกาแฟ “คาเฟ่ อเมซอน” อีก 2 พันแห่งใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 3 พันแห่งทั่วประเทศ ส่วนการลงทุนสร้างคลังสินค้าของธุรกิจค้าปลีก แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การก่อสร้างล่าช้าในการสั่งเครื่องจักรจากต่างประเทศบ้าง แต่ก็ไม่ได้ล่าช้ามากนัก หลังจากนี้ก็ยังคงสามารถเดินหน้าได้ตามแผน

ขณะที่สถานการณ์ล่าสุด ยอดขายน้ำมันและยอดขายนอนออยล์ของโออาร์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.63 หลังจากชะลอตัวในช่วงล็อกดาวน์ เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องปิดสาขาคาเฟ่ อเมซอน ในประเทศ 103 แห่ง และต่างประเทศ 16 แห่ง ประมาณ 2 เดือน แต่ปัจจุบันได้กลับมาเปิดเกือบครบแล้ว ยกเว้นบางสาขาในห้างสรรพสินค้าที่ฟิลิปปินส์ ที่ยังปิดดำเนินการเพราะด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ และยังมีปัญหาการแพร่ระบาดอยู่

“รัฐมนตรีขอให้หน่วยงาน หากสามารถทำให้คนที่ตกงานเข้ามาอยู่ในกระบวนการเพื่อมีงานทำ การลงทุนที่จะมีขึ้นในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าก็ให้ลงทุนลงเร็วขึ้นได้หรือไม่…ตอนนี้การขยายงานของเราก็เป็นไปตามแผน การบริโภคทั่วไปก็ยังได้อยู่ ยอดตกเฉพาะช่วงโควิดประมาณเดือนครึ่ง ตอนนี้ก็ปกติแล้ว ยอดขายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามิ.ย. และก.ค. เทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ไม่มีอะไรกระทบเลย” น.ส.จิราพร กล่าวภายหลังการร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พลังงานร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานในวันนี้

ด้านนายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ในกลุ่มปตท. กล่าวว่า บริษัทพร้อมสนองนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เพื่อให้กระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาคหรือในภาคธุรกิจที่เปราะบาง ทั้งธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม โดยเน้นกระจายการจ้างงานให้มากที่สุด ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันมีแรงงานที่ว่างงานชั่วคราว 2.5 ล้านคน หากช่วยทำให้สามารถผ่านวิกฤติและกลับมาเป็นแรงงานได้ ก็จะมีส่วนสำคัญช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ขณะที่นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ในกลุ่มปตท. กล่าวว่า การลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบัน ด้วยมูลค่าการลงทุน 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงปี 63-64 นั้น จะเป็นโครงการที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก

ทั้งนี้ บริษัทพยายามใช้อุปกรณ์และทรัพยากรต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมทั้งว่าจ้างแรงงานคนไทยมากขึ้น โดยภาพรวมของโครงการจะใช้คนงานราว 1 หมื่นคน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 7-8 พันคน หลังมีสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับการหาแรงงานคนไทยก็ค่อนข้างยาก แต่ก็จะพยายามใช้แรงงานไทยมากที่สุด พร้อมกับเร่งรัดโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จตามกำหนดการเดิมในปี 66

สำหรับปีนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้อัตราการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 98% ต่ำกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันอากาศยาน (JET) ลดต่ำลงมาก และเชื่อว่าความต้องการน้ำมันอากาศยานจะยังไม่เพิ่มขึ้น หากไม่มีการเปิดน่านฟ้า ขณะที่น้ำมันสำเร็จรูปทั้งเบนซินและดีเซล มีความต้องการใช้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้ภาพรวมบริษัทยังต้องลดอัตราการกลั่นลง เพื่อไม่ให้บางผลิตภัณฑ์ล้นตลาด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ส.ค. 63)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top