SPALI คงเป้ารายได้-ยอดขายปีนี้ หลังปรับแผนเพิ่มแนวราบลดคอนโดฯ

แนะรัฐเลิก LTV หนุนอสังหาฯฟื้น

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายและรายได้ในปีนี้ตามเดิม แต่จะมีการปรับแผนการเปิดโครงการใหม่โดยลดการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมลง และเปิดโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น ให้สอดรับกับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันที่มีความต้องการโครงการแนวราบมากขึ้น หลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

บริษัทจะเปิดโครงการแนวราบเพิ่มเป็น 27 โครงการในปีนี้ จากแผนเดิม 25 โครงการ ซึ่งโครงการใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจะอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ 1 โครงการ และภูมิภาคอีก 1 โครงการ โดยในวันที่ 27 ต.ค.จะเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก

ส่วนกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมจะเปิดโครงการใหม่ลดลงเหลือ 3-4 โครงการ จากเป้าเดิม 5 โครงการ โดยจะพิจารณาถึงสภาพตลาดและโอกาสที่จะเหมาะสม เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดโครงการคอนโดฯ แห่งที่ 4 ในเดือน ก.ย.นี้ คือ โครงการ “ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน” ขนาด 384 ยูนิต พื้นที่เริ่มต้น 41 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 85,000 บาทต่อตร.ม.

“โครงการแนวราบปีนี้ดีอยู่แล้ว ตัวเลขยอดขายในพื้นที่กรุงเทพฯรวมกับในภูมิภาค เทียบปีต่อปีขยับเป็นบวก บางจังหวัดยอดขายแนวราบโตกว่า 10% คาดว่าสัดส่วนรายได้แนวราบทั้งปีกว่า 60% ที่เหลือไม่ถึง 40% เป็นสินค้ากลุ่มคอนโดฯ เป็นไปตามสภาวะตลาดที่ชะลอตัวลง หรือในบางโลเกชั่น เช่น พัทยา คอนโดฯได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ก่อนหน้านี้ พฤติกรรมของลูกค้าบางคนก็สนใจสินค้าคอนโดฯ แต่ก็หยุดไปช่วงที่เกิดการระบาด และหากในระยะอันสั้น ถ้าไวรัสคลี่คลาย หรือมีวัคซีนที่เชื่อถือได้ ดีมานด์ในกลุ่มคอนโดฯ ดีดกลับมาดีขึ้นกว่าปัจจุบัน เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้น เราจะเห็นว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ลดและไม่เปิดโครงการคอนโดฯ และในปี 63 บริษัทอสังหาฯส่วนใหญ่ ชะลอลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวสูงในปี 64 มีน้อยลงมาก ยกเว้นจะหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบ นั่นแปลว่า คอนโดฯปีหน้า ยังชะลอต่อเนื่อง” นายไตรเตชะ กล่าว

นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า ครึ่งปีหลังบริษัทจะกลับมาเปิดโครงการใหม่ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดฯ เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก จึงมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 26,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) บริษัทมียอดขายแล้ว 12,000 ล้านบาท โดยช่วงจากนี้ไปจะมียอดขายของโครงการที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่าง ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ ใกล้ Interchange บางหว้า ที่ทำยอดขายไปแล้ว 70% ราคาขายเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท และโครงการใหม่ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนรายได้ที่วางเป้าหมายไว้ 24,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าในครึ่งปีหลังจะเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ คิดเป็นมูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท และหากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดไว้สามารถกลับมาโอนได้เร็วขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มรายได้ของคอนโดฯ โดยครึ่งปีแรก รายได้แนวราบทั้งประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด มีสัดส่วน 80% อีก 20% มาจากสินค้าคอนโดฯ

“มาร์เก็ตแชร์แนวราบของศุภาลัยมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ ตอนนี้ยอดขายเราอยู่อันดับที่ 3 และ 4 จากเดิมเคยอยู่อันดับ 6 ราคาขายกลุ่มแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯประมาณ 4 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่ส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวจะขยับไปเพิ่มแชร์จากคู่แข่ง เนื่องจากเราจะเปิดโครงการระดับพรีเมี่ยม 10 ล้านบาทมากขึ้น”

นายไตรเตชะ กล่าว

ทั้งนี้ SPALI เตรียมเปิดโครงการ ศุภาลัย พรีมา วิลล่า ปิ่นเกล้า-พุทธมณฑล สาย 2 บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนขนาดที่ดิน 100 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 233 ตร.ม. ขึ้นไป ราคาตั้งแต่ 12.9-27.9 ล้านบาท รวมถึง มีแผนเปิดแบรนด์ใหม่ของบ้านเดี่ยวระดับ 4-6 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวภายในปีนี้

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์นั้น นายไตรเตชะ กล่าวว่า ผู้เข้ามาเยี่ยมชมโครงการทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมปรับสูงขึ้นมาใกล้เคียงกับภาวะปกติ เนื่องจากผู้ที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยมีเวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดในช่วงล็อกดาวน์ โดยเฉพาะในช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.ตัวเลขยอดเยี่ยมชมโครงการสูงขึ้นมาก ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะแนวราบเติบโตเป็นบวก ยกเว้นโครงการในจังหวัดภูเก็ตที่ลูกค้าหายไป เนื่องจากพอร์ตลูกค้าในภูเก็ตกว่า 30% จะเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงแรม ทำให้เกิดการชะลอโอนกรรมสิทธิ์นับสิบราย จึงต้องกระตุ้นผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น

นายไตรเตชะ กล่าวเอีกว่า แม้ขณะนี้ยอดโอนกรรมสิทธิ์เริ่มกลับมาดีขึ้น แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องเฝ้าและติดตาม โดยเฉพาะในกลุ่มของอาชีพโรงแรม และเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสายการบิน ซึ่งบริษัทไม่สามารถทิ้งลูกค้ากลุ่มนี้ได้ โดยมีการช่วยเหลือและผ่อนปรนลูกค้า แต่พบว่าแนวโน้มการโอนฯอาจไม่เป็นไปเป้าหมาย เพราะทั้งสถาบันการเงินยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ และเกิดปัญหาจากกลุ่มลูกค้าที่ขอยกเลิกโอน แม้ตัวเลขจะไม่มาก แต่ก็พอเห็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะเศรษฐกิจยังหดตัวและอัตราว่างงานเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องโหมอัดแคมเปญอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับลูกค้า

“เมื่อถามว่าจะให้เสนออะไรกับรัฐบาลนั้น คิดว่า เป็นประเด็นที่มีเสียงเรียกร้องมาตลอด คือ ปลดเรื่องมาตรการควบคุมสินเชื่อ หรือ LTV จะได้ลูกค้ากลับคืนมาทันที 10% หรือ การยกเลิกเพดานราคาบ้านในมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เนื่องจากราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 30% ของตลาดรวม ที่เหลืออีก 70% รัฐบาลยังไม่ได้สนับสนุน แต่หากให้ได้ คลายตรงนี้ลง ก็ไม่เลว จะทำให้ทุกระดับราคาได้รับผลประโยชน์”

นายไตรเตชะ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 63)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top