CRC อัดแคมเปญใหญ่หวังเพิ่มยอดขายอีก 2 พันลบ. พร้อมรุกหนักออนไลน์

นายนิโคโล กาลันเต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้บริษัทเดินหน้าจัดแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เหลือของปีนี้ ผ่านการทำแคมเปญ Central Retail Double Mega Sale ในช่วง 9 เดือน 9, 10 เดือน 10, 11 เดือน 11 และ 12 เดือน 12

ซึ่งเป็นจัดแคมเปญโปรโมชั่นทั้งหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ควบคู่กัน ตามกลยุทธ์การขายแบบ Omni Channel โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 2 พันล้านบาท ถือว่าสูงกว่าการจัดแคมเปญอื่นในช่วงปลายปีก่อน ๆ ที่ผ่านมาปกติจะเพิ่มยอดขายได้ราว 1 พันล้านบาท

ขณะที่สถานการ์ณแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี และมีการผ่อนกลายล็อกดาวน์ไปค่อนข้างมากแล้ว ทำให้ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติ ประชาชนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น จึงเริ่มเห็นยอดขายกลับมาฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องในขณะนี้ บริษัทจึงมั่นใจแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นการเติบโตที่ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยไตรมาส 4/63 จะทำยอดขายดีที่สุดของปีนี้ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าไตรมาสอื่น ๆ

“ครึ่งปีหลังแม้ว่ายอดขายจะรีบาวด์กลับมา แต่ก็ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ เพราะว่ายังขาดกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ต้องรอการเปิดประเทศว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาด้วย เพราะหากควบคุมไม่ดีอาจส่งผลกระทบเชิงลบได้”

นายนิโคโล กล่าว

อย่างไรก็ตามในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 และการล็อกดาวน์ประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าต้องหันมาพึ่งพาช่องทางออนไลน์มากขึ้น และลูกค้าเริ่มคุ้นชินกับการซื้อสินค้าออนไลน์ ทำให้จำนวนผู้เข้าใช้บริการ centralonline.com ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็น 3 ล้านคน มากกว่าทั้งปีก่อนที่มีจำนวน 1 ล้านคน ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นมาเป็น 10% เข้าใกล้กับเป้าหมาย 15% ภายใน 3-5 ปี ทำให้บริษัทมองโอกาสการทำได้เข้าเป้าจะเร็วขึ้น

นายนิโคโล กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทได้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน โดยจะพิจารณาข้อมูลรอบด้านอย่างรอบคอบเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของแต่ละประเทศที่เข้าไปทำธุรกิจ โดยจะปรับกลยุทธ์ลงทุนต่อเลื่องในทุกเดือนตามสถานการ์ณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ลงทุนได้อย่างเหมาะสม

อย่างเช่น ในประเทศไทย บริษัทได้ชะลอการขยายสาขาใหม่ออกไปหลังจากโควิด-19 ระบาดและมีการล็อกดาวน์ประเทศ กระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาได้เร็ว แต่จะเป็นการปรับรูปแบบสาขาให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าชาวไทยมากขึ้น เช่น ที่ MEGA บางนา ปรับเปลี่ยนจากแบรนด์ ROBINSON เป็น CENTRAL และการปรับรูปแบบสาขา ROBINSON เป็น Lifestyle Mall เพิ่มมากขึ้น

ส่วนในเวียดนาม ยังเล็งเห็นศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทตัดสินใจขยายการลงทุนตามแผน แต่ในยุโรปได้ชะลอการขยายสาขาใหม่ หลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างมาก และเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวช้า มีเพียงการลงทุนรีโนเวทห้างในยุโรปใหม่เท่านั้น

แต่สิ่งที่บริษัทยังให้ความสำคัญในการลงทุน คือ การลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้กับลูกค้าได้ดีขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าต่างๆกับเซ็นทรัลต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top