AP ชูแบรนด์ “APITOWN” รุกตลาดตจว.นำร่องขอนแก่น-ระยอง-นครศรีฯ 2.45 พันลบ.

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ผ่านแบรนด์ใหม่ ‘อภิทาวน์’ (APITOWN)

โดยนำร่อง 3 หัวเมืองใหญ่ ขอนแก่น ระยอง และนครศรีธรรมราช มูลค่ารวม 2,450 ล้านบาท ราคาตั้งแต่ 1.7-8 ล้านบาท โดยจะพรีเซลพร้อมกันวันที่ 21-22 พ.ย.นี้ และวางเป้าหมายการขายในช่วงวันเปิดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท หรือ 100 ล้านบาทต่อโครงการ

ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกกับการขยายขอบเขตการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เข้าไปในต่างจังหวัด ผ่านแบรนด์ อภิทาวน์ ภายใต้รูปแบบโครงการแบบมิกซ์ โปรดักส์ (Mix Products) ที่จะตอบโจทย์ทุกความต้องการที่อยู่อาศัย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัวรุ่นใหม่ในหัวเมืองใหญ่ อายุระหว่าง 30-45 ปี ที่มองหาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับการเป็นเจ้าของบ้านหลังใหม่ พร้อมการผสานเทคโนโลยีที่จะอำนวยความสะดวกและเพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัยที่เหนือกว่าโครงการทั่วไป และพื้นที่ส่วนกลางที่ครบครันตอบทุกเทรนด์ไลฟ์สไตล์เมือง บนทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในจังหวัดนั้นๆ

โดยได้วางกลยุทธ์เลือกเจาะตลาดหัวเมืองต่างจังหวัด ผ่านศักยภาพและโอกาสในการลงทุน 4 มิติหลัก ได้แก่

  1. มิติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจ็คของภาครัฐ โดยเน้นจังหวัดที่มีความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
  2. มิติการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายมิติ มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจแหล่งงานที่สร้างรายได้จากหลายเซ็กเมนต์ (อุตสาหกรรม การลงทุน การเกษตร และการท่องเที่ยว)
  3. มิติการขยายตัวของความเป็นเมืองและการเติบโตของกำลังซื้อ
  4. มิติการเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาหรือการแพทย์ของภูมิภาค

สำหรับการขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เข้าไปใน 3 จังหวัด ถือว่าตอบโจทย์ใน 4 มิติหลักดังกล่าว เนื่องด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดขอนแก่น (GPP) มีการเติบโตถึง 3.5-4% มีการลงทุนครบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต ค้าปลีก ท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ และที่สำคัญรายได้เฉลี่ยของประชากร สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยประชากรในจังหวัดมีมากถึง 1.8 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 63% มีรายได้จากเงินเดือนหรือธุรกิจส่วนตัว รวมถึงยังมีห้างสรรพสินค้าครบทุกห้าง เหมือนกับกรุงเทพฯ และยังเป็นศูนย์กลางการศึกษา, ศูนย์กลางทางการแพทย์อีกด้วย

ส่วนจังหวัดระยอง มีโครงการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้าง-ปรับขยายเส้นทางถนน, รถไฟทางคู่ ระยอง จันทบุรี ตราด, ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา, ท่าเรือน้ำลึกโลจิสติกส์ และโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน, มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GPP GROWTH) ในระยะ 10 ปี (2550-2560) เติบโตถึง 60%, มีรายได้ประชากรต่อหัวปี 61 สูงสุดเป็นอันดับที่หนึ่งในประเทศ 1,067,449 บาท/คน/ปี โดยมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่สร้างงานและรายได้ มาจากอุตสาหกรรม, เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว ขณะที่มีประชากรในจังหวัด 724,979 คน คิดเป็น 77% มีรายได้จากเงินเดือน และเจ้าของธุรกิจ

ขณะที่นครศรีธรรมราช ถือเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนประตูเศรษฐกิจภาคใต้, เป็นโลจิสติกส์ ฮับรองรับตลาด AEC, มีสนามบินนครศรีฯ สนามบินศุลกากร รับ AEC และโครงการศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้-ทุ่งสง โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GPP GROWTH) คิดเป็น 164,375 ล้านบาท เติบโตเป็นอันดับ 4 ของภาคใต้ ประกอบกับเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอุตสาหกรรมยางพารา และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงมีประชากรในจังหวัด 1.5 ล้านคน สูงสุดในภาคใต้ มีรายได้เฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 109,050 บาท/คน/ปี และยังเป็นศูนย์กลางการศึกษา โดยมีสถาบันอุดมศึกษามากถึง 7 แห่ง มีจำนวนนักศึกษามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของภาคใต้

นายวิทการ กล่าวว่า จากการเปิดตัวโครงการใหม่ดังกล่าวนี้ น่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยวางเป้าหมายยอดขายในช่วงพรีเซลไว้ที่ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็นโครงการละ 100 ล้านบาท ซึ่งโครงการอภิทาวน์ ขอนแก่น มีมูลค่าโครงการรวม 950 ล้านบาท มีจำนวน 279 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น และ ทาวน์โฮม 2 ชั้น) ชูแนวคิด THE NEW HEIGHT OF URBAN LIVING ตอบโจทย์ทุกความต้องการของการอยู่อาศัยด้วยบ้านนวัตกรรมไฮบริดสไตล์โมเดิร์น รองรับการอยู่อาศัยร่วมกันของสมาชิกทุกเจเนอร์เรชั่น พร้อมบรรยากาศที่ร่มรื่นด้วยสวนขนาดใหญ่ คลับเฮ้าส์หรูตอบเทรนด์การพักผ่อนวิถีเมือง บนทำเลที่ดีที่สุด ใกล้สนามบินนานาชาติขอนแก่นและศูนย์กลางเมือง,

โครงการที่สอง อภิทาวน์ ระยอง มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท จำนวน 286 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านเดี่ยว 1 ชั้น และ ทาวน์โฮม 1-2 ชั้น) ชูแนวคิด THE LIVING HUB THAT CONNECTS CITY AND NATURE เอกสิทธิ์ของการใช้ชีวิตเหนือระดับ ด้วยทำเลที่ตั้งศักยภาพใจกลางเมืองระยอง เชื่อมต่อทุกวิถีการใช้ชีวิต ทั้งการทำงานและการพักผ่อน บนถนนสุชาดา 4 เชื่อมต่อถนนสุขุมวิทเพียง 15 นาทีถึงนิคมมาบตาพุด ครบครันด้วยคลับเฮ้าส์พร้อมฟิตเนส และสระว่ายน้ำระบบเกลือ พื้นที่สวนส่วนกลางพร้อมต้นไม้ใหญ่ สนามเด็กเล่นรองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว

และโครงการที่สาม อภิทาวน์ นครศรีธรรมราชมูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท จำนวน 215 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น และ ทาวน์โฮม 2 ชั้น) ชูแนวคิด REINVENT YOUR MODERN LIVING พื้นที่แห่งความสุขและการใช้ชีวิตของครอบครัวรุ่นใหม่ อีกระดับของการผ่อนคลายด้วยคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รายล้อมด้วยบรรยากาศร่มรื่น บนทำเลที่ตั้งศักยภาพถนนอ้อมค่ายวชิราวุธ เชื่อมต่อตัวเมืองและแหล่งไลฟ์สไตล์ได้อย่างสะดวกสบาย

พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายยอดขาย (Presale) ในปีนี้ไว้ที่ 33,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.63) บริษัทฯ มียอดขายรวมแล้วประมาณ 24,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการแนวราบที่ 20,900 ล้านบาท คิดเป็น 93% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบทั้งปีที่ 22,500 ล้านบาท ส่วนอีกประมาณ 3,100 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม ขณะที่ในปี 63 ยอดขายส่วนใหญ่จะมาจากการขายโครงการแนวราบเป็นหลัก

นอกจากนี้ในไตรมาส 4/63 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท จะมาจากโครงการแนวราบเป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,430 ล้านบาท โดยได้รวม 3 โครงการใหม่ในต่างจังหวัดไว้แล้ว ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทฯ ก็อยู่ระหว่างพิจารณาการเปิดตัวโครงการ Aspire Erawan ต่อเนื่อง มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท เพิ่มเติม

ด้านยอดโอนกรรมสิทธิ์ (รวมโครงการร่วมทุน) ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเป้ายอดโอนฯ ไว้ที่ 40,550 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 19,960 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ในไตรมาส 3/63 ได้อย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 2/63 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ 13,000 ล้านบาท โดยจะมาจากการส่งมอบโครงการแนวราบเป็นหลัก ขณะเดียวกันยังมีโครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่ จำนวน 1 โครงการ ซึ่งมียอดขายแล้วประมาณ 90% ทยอยส่งมอบ และยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่เสร็จใหม่ในช่วงต้นปีที่มีการโอนต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3/63

ขณะที่ ณ วันที่ 30 ก.ย.63 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่า 51,970 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 4/63 จำนวน 23,400 ล้านบาท โดย Backlog ทั้งหมด แบ่งเป็น Backlog จากโครงการแนวราบ จำนวน 14,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 4/63 ทั้งหมด ส่วน Backlog ที่เหลือเป็น Backlog จากโครงการคอนโดมิเนียม (รวมโครงการร่วมทุน) รวมมูลค่า 37,470 ล้านบาท จะทยอยส่งมอบในช่วงไตรมาส 4/63 จำนวน 8,900 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ประมาณ 50% เนื่องจากยอด Backlog ที่จะโอนในช่วงไตรมาสสุดท้ายมีสัดส่วนของลูกค้าต่างชาติประมาณ 10-15% อีกทั้งยังไม่สามารถประเมินความไม่แน่นอนต่างๆ ในช่วงไตรมาส 4/63 ได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (5 ต.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top