หุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มปรับขึ้นตามตลาดตปท.หลัง PMI ภาคการผลิตทั่วโลกออกมาดี

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ให้น้ำหนักอ่อนลงกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แต่หันไปสนใจตัวเลข PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ-ยุโรป-จีน ที่ออกมาดี นอกจากนี้รัสเซียก็ชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ทำให้เป็นบวกต่อราคาน้ำมัน-หุ้นในกลุ่มพลังงาน พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศงบฯ-สถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,195-1,215 จุด

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกกัน ตามตลาดสหรัฐฯ ดูเหมือนว่านักลงทุนจะให้น้ำหนักอ่อนลงกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว แม้ว่าจะยังต้องติดตามก็ตาม เนื่องจากมีปัจจัยอื่นที่น่าสนใจมากกว่า อย่างดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ และยุโรปที่ออกมาดี หลัง PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาดีกว่าคาด ซึ่งจะเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ รัสเซียก็จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันโดยจะชะลอไปก่อน ทำให้เป็นบวกต่อราคาน้ำมัน และหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งก็มีผลต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนบ้านเราก็ยังต้องติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/63 และสถานการณ์การเมืองในประเทศในเรื่องการชุมนุมทางการเมือง

พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,195-1,215 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,925.05 จุด เพิ่มขึ้น 423.45 จุด (+1.60%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,310.24 จุด เพิ่มขึ้น 40.28 จุด (+1.23%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,957.61 จุด เพิ่มขึ้น 46.02 จุด (+0.42%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 14.69 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 229.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49.97 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 15.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 10.16 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.65 จุด
  • ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันวัฒนธรรมแห่งชาติ
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ย.63) 1,202.16 จุด เพิ่มขึ้น 7.21 จุด (+0.60%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 767.56 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ย.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ย.63) ปิดที่ 36.81 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 2.9%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 พ.ย.63) อยู่ที่ 3.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.09/11 แข็งค่าตามทิศทางภูมิภาค ให้กรอบวันนี้ 31.00-31.15
  • “สุพัฒนพงษ์” ย้ำเดินหน้าแผนซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ตามแผน PDP ที่กำหนดไว้ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมรับซื้อไฟฟ้า FiT ภายในไตรมาส 3 ปี 64 ก่อนจ่ายไฟเข้าระบบปี 65 ด้านกองทุนอนุรักษ์พลังงานเคาะงบประมาณปี 64 วงเงิน 6,500 ล้านบาท เตรียมเปิดให้ยื่นขอเงินสนับสนุนได้ถึง ธ.ค. 63
  • นายสุธีร์ โล้วโสภณกุล รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เกิดผลกระทบหนักสุด หรือตกอยู่ในภาวะ Big Shock ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ทำให้เกิดช่องว่างของการเติบโตในแต่ละธุรกิจมีไม่เท่ากัน ผลกระทบครั้งนี้จะอยู่นานพอสมควร เพราะยังไม่แน่ใจว่าภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงใด รายได้จากนักท่องเที่ยวหายไปกว่า 10% ของมูลค่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ธนาคารจึงวางแผนการดำเนินงานในปี 2564-2567 ผ่านการเน้นพัฒนาด้านดิจิทัลเป็นหลัก
  • แรงงาน-มหาดไทยจ่อชงครม.สัญจรวันนี้ (3 พ.ย.) ไฟเขียวงบ 1,500 ล้านบาท จ้างงาน 1.8 หมื่นอัตราในพื้นที่ 6 จังหวัดอันดามัน ส่วนคลังเสนอให้อนุมัติซอฟต์โลนช่วยธุรกิจการบินในประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีสั่งทีมที่ปรึกษาจัดทำแนวทางฟื้นฟูท่องเที่ยวภูเก็ตลั่นสนามบินภูเก็ตพร้อมรับนักเที่ยว นักธุรกิจต่างชาติกลุ่มพิเศษ แต่ย้ำเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองเข้มงวด

หุ้นเด่นวันนี้

  • WGE (บมจ.เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง โดยมีราคาขาย IPO ที่ 2.30 บาท/หุ้น โดย WGE และบริษัทย่อยประกอบธุรกิจให้บริการรับเหมาก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างประเภทต่าง ๆ ทั้งงานภาครัฐและเอกชน บริการของกลุ่มบริษัทครอบคลุมถึงงานวิศวกรรมโยธา งานระบบวิศวกรรมอาคาร งานภูมิสถาปัตย์ รวมไปถึงงานก่อสร้างงานระบบสาธารณูปโภคตามแบบที่ลูกค้ากำหนด โดยสามารถแบ่งประเภทของงานก่อสร้าง ดังนี้ งานก่อสร้างประเภทโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือ คอมมูนิตี้มอลล์ คอนโดมิเนียมแนวราบและแนวสูง อาคารสำนักงาน และ โรงงานอุตสาหกรรม
  • TU (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 18 บาท คาดกำไรปกติ Q3/63 โตอย่างน่าประทับใจ +29% Q-Q, +44% Y-Y จากธุรกิจกระป๋องที่โตต่อเนื่อง ธุรกิจ Frozen ฟื้นตัว และส่วนแบ่งขาดทุน Red Lobster ที่ลดลง ด้านราคาสุดราคาทูน่าปรับลงเล็กน้อย 2% M-M หลังพ้นช่วง FAD Ban เป็นบวกต่อ TU ในแง่ต้นทุนที่จะลดลง โดยคาดกำไรปี 2563-2564 โต +9% Y-Y และ +10% Y-Y ตามลำดับราคาหุ้นเทรด PER เพียง 12.5 เท่าซึ่งยังถูก
  • EPG (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 5.5 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2 ปี 63/64 (ก.ค.63- ก.ย.63) โตก้าวกระโดด qoq ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่มขึ้นตามยอดผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ธุรกิจแพ็คเกจจิ้งโตตามธุรกิจ Food delivery

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (3 พ.ย. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top