ไทย ชู 3 แนวทางกำหนดอนาคตด้านสาธารณสุข-เศรษฐกิจ-ความยั่งยืนอาเซียน-จีน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 23 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจากทั้ง 10 ประเทศ และนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เข้าร่วมด้วย

นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ในฐานะประธานการประชุมกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุม เพื่อร่วมกำหนดทิศทางความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีนในมิติต่างๆ รวมถึงความร่วมมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน ซึ่งผู้นำอาเซียนและจีนได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และความร่วมมือต่างๆอย่างกว้างขวาง

ด้านนายกรัฐมนตรีจีน กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียนที่มีร่วมกันหลายมิติ ความร่วมมือหลายปีที่ผ่านมาได้ปูทางความร่วมมือที่จะเกิดในภายภาคหน้าต่อไป จีนมีความประสงค์ที่จะพัฒนาอย่างสันติเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และขอให้ทุกฝ่ายพัฒนาแนวทางความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน เดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างสามัคคี และก้าวข้ามวิกฤตที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน

ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำบทบาทและความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีนที่มีมาอย่างแนบแน่น ซึ่งทุกฝ่ายร่วมมือกันฝ่าฟันวิกฤตมาตลอดระยะเวลา 30 ปี เปรียบเสมือนสุภาษิตที่ว่า “มิตรในยามยากคือมิตรแท้” และวิกฤตโควิด-19 ได้พิสูจน์ความเป็นมิตรแท้อีกครั้ง จากการที่อาเซียนและจีนได้ร่วมกันรับมือนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาด เพื่อฟื้นฟูภูมิภาคให้กลับมาเข้มแข็ง ผ่านการกำหนดอนาคตร่วมกัน นายกรัฐมนตรีเสนอ 3 แนวทาง ดังนี้

  1. “อนาคตทางสาธารณสุข” ที่ต้องเสริมสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ขอบคุณที่จีนให้ความร่วมมือและสนับสนุนข้อริเริ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะการสมทบกองทุนอาเซียนเพื่อการรับมือกับโควิด-19 จำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งการประกาศให้วัคซีนและยาต้านไวรัสโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับมิตรประเทศในการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนร่วมทำวิจัย พัฒนา และผลิตยา เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประเทศในภูมิภาค
  2. “อนาคตทางเศรษฐกิจ” ซึ่งอาเชียนและจีนต้องร่วมมือกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งบนพื้นฐานของการพึ่งพาระหว่างกันทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น ยึดมั่นระบบการค้าพหุภาคี สานต่อบูรณาการทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และ RCEP
  3. “อนาคตที่ยั่งยืน” อาเซียนและจีนต้องร่วมมือกันเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ยินดีที่จะร่วมประกาศให้ปี 2564 เป็นปีแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนอาเซียน-จีน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำความพร้อมในการร่วมมือกับอาเซียนและจีนที่จะต่อสู้กับความยากจน ความหิวโหย และภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งรวมถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อม และการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค โดยขอให้ “แสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง” ใช้ความยับยั้งชั่งใจ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และหันมาหารือเพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top