ทรีนีตี้ แนะลดลงทุนหุ้นไทยเหลือ 5% ใน ธ.ค.หลังขึ้นแรง-หวั่นกองทุนปรับพอร์ต

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนเดือน ธ.ค.ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี 63 ทรีนีตี้ได้แนะนำปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลงเหลือ 5% จากเดือนก่อนที่ให้น้ำหนักการลงทุนไว้ 15% และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกเป็น 15% จากที่เดือนก่อนไม่แนะนำ และให้เพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดเป็น 40% จาก 35%

ส่วนการลงทุนในทองคำและบิตคอยน์ ให้น้ำหนักเท่าเดิมที่ 10% ซึ่งในกรณีที่ราคาทองคำลดลงต่ำกว่า 1,800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แนะนำให้นักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนอยู่ในทองคำในระดับต่ำเพิ่มทองคำเข้าพอร์ตได้ เพราะเชื่อว่าในภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำนั้น ทองคำยังคงมีความน่าสนใจ และยังสามารถกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้อีกด้วย

“เหตุผลที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยลงเหลือ 5% เพราะต้องยอมรับว่าหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงมากในเดือน พ.ย.กว่า 20% นำโดยหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มวัฏจักร ตามความคาดหวังของวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นสำคัญ มองว่าเดือน ธ.ค. หุ้นไทยจะชะลอความร้อนแรงลง ประกอบกับการไหลเข้ามาของเงินทุนต่างชาติที่น่าจะเริ่มลดลง จากแพ็คเกจดูแลค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เตรียมออกมา และช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีที่เป็นเทศกาลวันหยุดยาว”

นายณัฐชาต กล่าว

นายณัฐชาต กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อาจเห็นการปรับพอร์ตของกองทุนขนาดใหญ่ของโลกในช่วงปลายปีเพื่อล็อกกำไรจากหุ้น โดยการโยกเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้นแทน หลังจากที่หุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรง ดังนั้น จึงยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนระยะกลางและยาว คาดในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้าดัชนีมีโอกาสย่อตัวลงมาซึ่งจะเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ตได้ดีกว่า

ทั้งนี้ ประเมินกรอบแนวต้านแรกของดัชนีหุ้นไทยในเดือน ธ.ค.ที่ 1,450-1,460 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุด ขณะที่แนวรับแรก ประเมินที่ 1,400 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,330 -1,350 จุด ซึ่งเป็นแนวรับที่สามารถเข้าซื้อหุ้นได้

สำหรับหุ้นแนะนำในเดือน ธ.ค.หากต้องการเข้าซื้อหุ้นในช่วงนี้ ให้มองไปยังหุ้นเติบโตหรือ Growth stock ที่อยู่ในช่วงพักฐาน โดยมองว่าสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในปัจจุบันยังคงสนับสนุนการปรับตัวของหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงถัดไปได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ยังคงมีอัตราการเติบโตต่ำหรือติดลบ รวมไปถึงระดับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำหรือติดลบเช่นกัน มองตัวหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ ได้แก่ KCE และ STGT เป็นต้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (2 ธ.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top