เชียร์ซื้อ STEC ตุน Backlog หนุนปี 63 ลุ้นคว้าบิ๊กโปรเจ็คต์เสริมอัพไซด์

โบรกเกอร์ แนะนำ”ซื้อ”หุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ขานรับผลประกอบการไตรมาส 4/62 เติบโตเกินคาด รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน Eastern และ Northern Bangkok Monorail ที่ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู และเงินลงทุนในบริษัทลูก แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ แต่เชื่อว่าในอนาคตกลับมาดีขึ้น หลังสิ้นสุดรับรู้โครงการที่มีมาร์จิ้นต่ำ เช่น รัฐสภาแห่งใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ ก่อนทยอยรับรู้รายได้โครงการใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูง

นอกจากนี้ มีปริมาณงานในมือ (Backlog) สูงกว่า 9.1 หมื่นล้านบาท คาดหนุนรายได้ปีนี้เติบโต 12% แตะ 3.68 หมื่นล้านบาท พร้อมมองโอกาสคว้างานโครงการใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 โครงการรถไฟฟ้าสายม่วงใต้ มูลค่าหลายแสนล้านบาท ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนในปี 64 เป็นต้นไป

ช่วงบ่ายราคาหุ้น STEC อยู่ที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.95% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.25%

นายสุรชัย ประมวลกิจเจริญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการ STEC ในปี 63 มีโอกาสเติบโตชัดเจน จุดเด่นคือ Backlog ที่มีสูงกว่า 9.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้รายได้ปีนี้เติบโตประมาณ 12% มาอยู่ที่ 3.68 หมื่นล้านบาท

นอกจากนั้น ยังมีโอกาสได้รับงานใหม่ช่วยผลักดัน Backlog มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เช่น โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่าโครงการ 2.9 แสนล้านบาท เป็นการรวมกลุ่ม BBS ประกอบด้วยบมจ.การบินกรุงเทพ (BA) 45% ,บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) 35% และ STEC 20% ในเฟสแรกมีมูลค่างานก่อสร้าง 2-3 หมื่นล้านบาท นับเป็นอัพไซด์ใหม่ที่ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการในปัจจุบันที่กำหนดราคาพื้นฐานอยู่ที่ 20 บาท

“ปัจจุบันหุ้น STEC ซื้อขายบน Valuation ที่ถูกมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV )อยู่ที่ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ที่ 3.39 เท่า ขณะที่โครงสร้างทางการเงินที่ดี มีกระแสเงินสดในมือแข็งแกร่งและเงินลงทุนระยะสั้นสูงถึง 7.2 พันล้านบาท ดังนั้นในอนาคตกรณีมีงานใหม่เข้ามาเสริมช่วยเพิ่มอัพไซด์เชิงพื้นฐานให้กับราคาหุ้น STEC มากกว่าประมาณการในปัจจุบัน”

นายสุรชัย กล่าว

นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น STEC เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 4/62 มีกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท เติบโตกว่าคาด จากส่วนแบ่งกำไรที่สูงจากเงินลงทุนใน Eastern และ Northern Bangkok Monorail ที่ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู และจากการลงทุนในบริษัทลูกอื่น ๆ ซึ่งหากไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ผลประกอบการไตรมาส4/62 จะอยู่ที่ 509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากงวดปีก่อน และ 51% จากไตรมาสก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 4.5% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 7.6% และไตรมาสก่อนหน้านี้ที่อยู่ระดับ 5.4% แต่เชื่อว่าแนวโน้มอัตรากำไรจะดีขึ้นในอนาคตหลังจากที่ทยอยรับรู้งานที่มีอัตรากำไรต่ำลดลง เช่น โครงการก่อสร้างรัฐสภาที่จะแล้วเสร็จในปี 63

นอกจากนี้ แม้ว่าการกฎหมายงบประมาณปี 63 จะมีผลบังคับใช้ล่าช้ากว่าคาด แต่ไม่ได้กระทบกับทิศทางการเติบโตผลประกอบการปี 63 เนื่องจากปริมาณงานในมือของ STEC มีสูงกว่า 8.7 หมื่นล้านบาทเพียงพอรับรู้รายได้ไปหลายเดือน ขณะที่ยังมีโอกาสได้รับงานโครงการใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้นในอนาคต อาทิ โครงการสนามบินอู่ตะเภา ,รถไฟทางคู่เฟส 2, รถไฟฟ้าสายม่วงใต้ น่าจะมีความชัดเจนในปี 64 เป็นต้นไป

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยฯปรับราคาพื้นฐาน STEC ขึ้นเป็น 23 บาท จากเดิม 21.50 บาท เนื่องจากปรับสมมติฐานกำไรปีนี้ขึ้นอีก 9% เป็น 1.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพราะงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูอยู่ในช่วงกลางโครงการ ทำให้มีการรับรู้รายได้เป็นลักษณะ “s-curve”

ส่วนประเด็นความกังวลกรณีคดีรับเงินโรงไฟฟ้าขนอมรับรู้ไปมากแล้ว งานรัฐสภาใหม่คืบหน้า 70-80% คาดเสร็จปลายนี้ ไม่ต้องสำรองขาดทุนเพิ่ม และการประมูลใหม่ ๆ กำลังจะเริ่ม เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม รถทางคู่ รถไฟไทย-จีน เป็นต้น

บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า คาดว่า STEC จะได้รับงานในโครงการใหม่ที่เตรียมเข้าร่วมประมูลในปีนี้มูลค่าหลายแสนล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้มูลค่า 1 แสนล้านบาท , รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกมูลค่า 1 แสนล้านบาท ,รถไฟทางคู่เฟส 2 มูลค่าเกือบ 4 แสนล้านบาท ,โครงการอู่ตะเภา และโครงการอัพเกรดโรงกลั่นไทยออยล์ (CFP) ที่จะใช้เงินลงทุนร่วม 3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ STEC ร่วมกับพันธมิตร ยื่นซองประมูลโครงการอู่ตะเภา หากในกรณีที่ดำเนินการเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อย จะเป็นโครงการสำคัญที่จะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นอย่างนัยสำคัญ

ปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยฯ กำหนดราคาพื้นฐานปีนี้ 23 บาท บนสมมติฐานการรับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการงานก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 2 สายใหม่ แม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องอัตรากำไรต่ำกดดัน แต่ด้วยปริมาณงานในมือ Backlog ที่แข็งแรงมาก จึงยังคงคำแนะนำ”ซื้อ”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มี.ค. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top