พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ขณะนี้รัฐบาลเตรียมการเพื่อให้พร้อมรับมือหากสถานการณ์การแพร่ระบาดเข้าสู่ระยะที่ 3 โดยยกระดับมาตรการที่เข้มข้นเข้มงวดมากขึ้น แต่หากสถานการณ์มีความรุนแรงเหมือนกับที่เกิดในเมืองอู่ฮั่นของจีน ก็พร้อมจะพิจารณาใช้มาตรการปิดเมืองปิดประเทศ
“ถ้าคำว่าปิดประเทศจะวุ่นวายไปหมดถ้าปิดจังหวัดคนเข้าออกไม่ได้ รถราเข้าไม่ได้เหมือนอู่ฮั่นที่ปิดเมือง เข้าใจไหม ตอนนี้เราต้องการอย่างนั้นแล้วยัง คนเข้าออกไม่ได้ รถเข้าออกไม่ได้เครื่องบินเข้าไม่ได้ ทุกอย่างเข้าไม่ได้แล้วท่านจะอยู่กันไหวไหม ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่รุนแรงขนาดนั้น ถ้าถึงขนาดนั้นผมก็ต้องปิดแบบที่ว่า แต่จะทำยังไงจะอยู่กินกันอย่างไรก็ต้องเตรียมอีก”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า สิ่งสำคัญวันนี้เราเตรียมการระยะที่ 3 ซึ่งมาตรการระดับที่ 4 ที่สั่งการคือเตรียมการเรื่องสถานที่ เตียงผู้ป่วย ทั้งสถานที่ปัจจุบันและสถานที่ต่อไปที่อาจจะใช้ คือ โรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลเอกชน ถึงแม้กระทั่งโรงแรม โดยต้องเก็บข้อมูลตั้งแต่บัดนี้ เพราะเมื่อถึงเวลายกระดับ 3 ก็จะยุ่งกันใหญ่
สำหรับมาตรการปิดประเทศ ปิดพื้นที่หรือปิดจังหวัด อันนั้นคือปิดหรือซีล แต่ที่ทำยังไม่ได้เรียกว่าปิด แต่เรียกว่าเป็นมาตรการเข้มข้นในการสกัดกั้นคนเข้าออก มีการตรวจตราท่ารถท่าเรือ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจที่ได้ให้ไปแล้ว แต่ก็ต้องมีการรายงานมายังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ก่อน ส่วนกรณีที่มีบางจังหวัดประกาศปิดเมืองนั้น ไม่ว่ากันว่าใครจะผิดจะถูก แต่รัฐบาลก็ได้ให้ไปทำมาตรการที่เข้มงวดขึ้น มองในแง่ดีก็เป็นตัวอย่างให้กับจังหวัดอื่น
“ความขัดแย้งผมก็เช็คก็ไม่มีนะ เพียงว่ามีคนพูดตรงนั้นตรงนี้ออกมาในโซเชียลบ้างอะไรบ้าง ผมก็เรียกทุกคนมาคุยว่ามีปัญหากันหรือเปล่าในกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาลหรือในศูนย์ฯ ไม่เช่นนั้นเขาไม่กล้า ผมเปิดโอกาสให้มาหาผมทุกคน นั่นคือสิ่งที่ผมก็เหนื่อยเหมือนกันคือทุกคนเข้าหาผมได้โดยช่องทางโน้นช่องทางนี้ ไม่ใช่ผมเสพแต่โซเชียลอย่างเดียว โซเชียลก็มีคนคัดกรองมาให้ผม วันๆก็มีงานอื่นอยู่แล้ว”
นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์การแพร่ระบาดลุกลามไปสู่ภาวะรุนแรง กล่าวคือให้มีการเตรียมยาเฟวิพิลาเวียร์ ซึ่งเป็นตัวยาต้านไวรัสจากประเทศญี่ปุ่น ให้เพียงพอที่จะรองรับกับจำนวนผู้ป่วยในระยะที่ 3 และให้จัดตั้งโรงพยาบาลเฉพาะโรคในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกองทัพ รวมถึงภาคเอกชนปรับโรงพยาบาลขนาดกลางให้เป็นโรงพยาบาลเฉพาะโรคโดยเร็วที่สุด
ในวันพรุ่งนี้กองทัพและกระทรวงสาธารณสุขจะได้ประชุมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ (on table) เพื่อให้พร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในกระทรวงกลาโหม และในวันที่ 23 มี.ค.นี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยปรับรูปแบบห้องประชุมให้ได้มาตราฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขคือต้องนั่งห่างกัน 1 เมตรขึ้นไป
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ตามที่รัฐบาลมีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเลื่อนวันหยุดสงกรานต์ หรือปิดบางสถานที่ เช่น มหาวิทยาลัย โรงเรียนรัฐและเอกชน สถานกวดวิชา สนามม้า สนามมวย สนามกีฬา โรงภาพยนตร์ โรงละคร ฟิตเนส สปา เพื่องดการเดินทางโดยไม่จำเป็นเพราะจะเป็นพาหะในการแพร่เชื้อในกลุ่มคนจำนวนมาก รวมทั้งป้องกันการแพร่ระบาดจากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่
นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยและเห็นใจพี่น้องประชาชน โดยขอความร่วมมือประชาชน ให้ช่วยงดเดินทางโดยไม่จำเป็น เพราะอาจจะเป็นพาหะในการแพร่เชื้อโควิด-19 ไปพื้นที่อื่น ๆ พร้อมทั้งขอผู้ใช้แรงงานให้ช่วยอดทนไปอีกระยะหนึ่ง หากมีอาการเป็นไข้ขอให้ไปพบแพทย์ทันที หากเดินทางจากพื้นที่เสี่ยงขอให้กักตนเอง 14 วัน ทั้งนี้ ทุกพื้นที่ให้ยึดถือแนวปฏิบัติของรัฐบาล ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า “เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ โดยรัฐบาลจะพยายามดูแลประชาชน และพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดรายได้ให้ได้มากที่สุด”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 63)
Tags: COVID-19, นฤมล ภิญโญสินวัฒน์, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, โควิด-19