10 โบรกฯส่องเป้าดัชนี SET ปี 64 ที่ 1,550-1,770 เชียร์ Domestic play

10 โบรกเกอร์ ส่องเป้าหมายดัชนี SET ปี 64 ในกรอบ 1,550-1,700 จุด จากความคาดหวังครึ่งปีหลัง (H2/64)การกระจายวัคซีนของไทยทำได้มากขึ้น ส่งผลให้มีการทยอยผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงมองกลุ่ม Domestic play น่าจะไปได้ดี โดยเฉพาะหุ้นธีม Reopening อย่างกลุ่มค้าปลีก ขณะที่ราคายัง Laggard รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ อย่าง น้ำมัน, ปิโตรเคมี ก็จะปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี ตลาดฯ ยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนบางจังหวะตามปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และการปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้น ส่วนบ้านเราช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นไทย ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะมีเงินไหลออกไปมากในครึ่งปีหลัง

CGS-CIMB มอง H2/64 ฉีดวัคซีนได้มากขึ้น-หนุน Domestic plays

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) หรือ CGS-CIMB มองเป้าดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 1,690 จุด คิด P/E 20 เท่า เป็นการคิดจากผลกำไร (Earning) ของปี 65 ซึ่งปีนี้ Earning Growth คิดเป็น 44% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 76.6 บาท ขณะที่ปีหน้าคิดเป็น 14% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 87.3 บาท

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) มองว่าประเทศไทยจะมีการกระจายวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น คิดเป็นการสัดส่วน 51% ของจำนวนประชากร ซึ่งส่งผลให้มีการทยอยการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะต่าง ๆ และทั่วโลกก็จะมีการกระจายวัคซีนได้มากขึ้นด้วย ส่งผลให้มองว่าพวก Domestic plays น่าจะไปได้ดีในครึ่งปีหลังจากการเดินหน้าเศรษฐกิจ และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ อย่างพวกน้ำมัน, ปิโตรเคมี ก็จะปรับตัวสูงขึ้นตาม โดยตลาดน่าจะมีสภาพคล่องมากขึ้นหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้น

เพียงแต่ในช่วงสั้นตลาดอาจจะยังมีความผันผวนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้อาจต้องมีการปรับพอร์ตในช่วงสั้นจากต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่หากมองให้ดีจะเห็นได้ว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้ลดนโยบายผ่อนคลายด้านการเงินลง ดังนั้นในครึ่งปีหลังจึงยังมีมุมมองเป็นบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่วนบ้านเราในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นไทยมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะมีเงินไหลออกไปมากนักในครึ่งปีหลัง

พร้อมมองหุ้นที่น่าลงทุนในครึ่งปีหลัง (H2/64) เป็นหุ้นในกลุ่ม Domestic plays อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มแบงก์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รวมไปถึงกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ด้วย ส่วนหุ้นในกลุ่มโรงแรมมองว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้

PST เชื่อรัฐไม่กลับไปล็อกดาวน์เต็มรูปแบบแล้ว-เชียร์หุ้นเปิดเมือง

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) หรือ PST กล่าวว่า ยังคงเป้าดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 1,670 จุด คิด P/E 20 เท่า โดย Earning Growth ปีนี้ 56% คิดเป็น EPS ที่ 80 บาท จากความคาดหวังว่าวัคซีนโควิดจะทยอยเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) และการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนพอสมควร แต่คาดว่าภาครัฐฯจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เต็มรูปแบบแล้ว โดยจะยังมีการผ่อนคลายเพื่อเปิดทางให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้บ้าง อีกทั้งการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังต้องดำเนินต่อไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นได้

สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดว่าจะไม่เร่งรีบที่จะปรับขึ้นในปี 64-65 อย่างเร็วสุดก็คงจะเป็นการปรับลดการทำ QE ก่อน นี่ก็คงจะเป็น Sentiment บวกจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ เพียงแต่อาจจะมีการดึงเงินออกจากระบบไป ซึ่งก็ต้องชั่งน้ำหนักดูระหว่างดึงเงินออกจากระบบไปกับเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน

ทั้งนี้ มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองน่าสนใจลงทุน ทั้งหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มโรงแรม เป็นต้น น่าจะกลับมาได้ดี

CNS เล็งตลาดฯช่วง Q3/64 ผันผวนจากเฟดจะขึ้นดบ.รบกวน

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) กล่าวว่า ดัชนี SET ปีนี้ยังคงไว้ที่ 1,650 จุด คิดเป็น P/E 18.25 เท่า คาดว่า Earning Growth ราว 50% ซึ่งมองว่าทิศทางตลาดฯในช่วงไตรมาส 3/64 จะยังคงผันผวนอยู่ จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็คงจะกดดันตลาดฯไปเรื่อย ๆ แต่ในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ปีนี้น่าจะได้เห็นการฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัว

พร้อมมองครึ่งปีหลัง (H2/64) หุ้นที่น่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากราคาหุ้นยัง Laggard อยู่

KTZ คาดกำไรของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปีนี้ออกมาดี-เชียร์กลุ่ม Reopening

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ (KTZ) ให้กรอบเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 1,610-1,700 จุด โดยมองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 1/64 ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว ช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) เข้ามาทำให้กำไรอาจจะลดลงได้ในบางบริษัท

อย่างไรก็ดี มองว่าปีนี้กำไรของบริษัทฯที่ทำธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์จะออกมาดี แม้ตอนนี้ราคาหุ้นจะชะลอบ้างจากการความกังวลเรื่องที่ทางการจีนยังมีมาตรการควบคุมอยู่ แต่เมื่อตอบรับไปแล้วราคาหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ก็พร้อมที่จะกลับขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศด้วยน่าจะทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์กลับมา

ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศ ผลการดำเนินงานปีนี้คงจะยังไม่ดีนัก อย่าง สายการบิน ถ้ามีการประกาศงบฯออกมาแล้วก็คงจะต้องถอย ทั้งนี้ ช่วงนี้หุ้นในกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงานยังไม่ไปไหน เพราะตลาดฯยังไม่มีตัวขับเคลื่อนมาผลักดัน ดังนั้นเป้าหมายดัชนี SET สูงสุดจึงได้แค่ 1,700 จุด คิด EPS 84 บาท ซึ่งตลาดฯเทรด P/E 19-20 เท่าในขณะนี้ถือว่าแพงแล้ว เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ซื้อ Fund Flow ไม่เข้า ตอนนี้พึ่งการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างเดียวที่จะทำให้มีผลต่อการเปิดประเทศได้ เพราะบ้านเรายังพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่มาก

ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังก็มองหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการ Reopening น่าสนใจ ยกเว้นกลุ่มแบงก์ที่ยังไม่กลับมาจากแรงกดดันเรื่องดอกเบี้ย ส่วนกลุ่มพลังงานได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และกลุ่มค้าปลีกก็น่าสนใจ เพราะราคาหุ้นยัง Laggard อยู่หลายตัว แต่ทั้งนี้ประเด็นที่จะมากดดันตลาดฯทำให้เกิดแรงขายก็มาจากเรื่องเฟดจะปรับลดการทำ QE

FSS มองการบริโภค-ท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นใน H2/64 จึงเชียร์ Domestic play

บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับ SET Target ปี 64 ขึ้นเป็น 1,660 จุด จากคาดการณ์ EPS ที่เพิ่มขึ้นเป็น 83 บาท +108.7% Y-Y ภายหลังประกาศงบไตรมาส 1/64

และมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นโดยเฉพาะการเริ่มฉีดวัคซีนโตงิด-19 ปูพรมตั้งแต่ 7 มิ.ย.64 เป็นต้นไปจะเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศที่จะทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) ช่วยเสริมการลงทุนภาครัฐและส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ประคับประคองเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง จึงประเมินว่าภายในเดือน ส.ค.64 จะมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสถึงกว่า 50% ของประชากรและภายในสิ้นปี 64 คาดมีผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสถึง 73.6% ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และกลับมาเปิดประเทศได้อีกครั้ง

ส่วนประเด็นกดดันในช่วงครึ่งปีหลังคือนโยบายการเงินของเฟดที่ทยอยตึงตัวขึ้น ทั้งการลดขนาด QE ที่คาดเริ่มขึ้นในไตรมาส 4/64 และยุติในช่วงกลาง-ปลายปีหน้า ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยคาดเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดปลายปี 65 โดยปัจจัยดังกล่าวกดดันกระแสเงินทุนให้ยังไหลออก

อย่างไรก็ตาม ระยะหลังสถานะของต่างชาติไม่สัมพันธ์กับ SET Index เหมือนในอดีต และเป็นสถาบันในประเทศที่มีบทบาทมากกว่า จึงเน้นกลยุทธ์ลงทุนในกลุ่ม Domestic play คาดว่าจะ Outperform ตลาดและมีแรงหนุนจาก Sector Rotation ออกจาก Global Play ที่ปรับขึ้นเด่นในช่วงก่อนหน้า โดยเลือก Top Pick งวดครึ่งปีหลัง (H2/64) ได้แก่ BDMS CK CPALL EKH M SAPPE SCB SPALI TISCO VRANDA

KGI คงเป้าดัชนี SET ที่ 1,770 เชียร์ธีมท่องเที่ยว-Reopening

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI ระบุว่า ยังคงเป้าดัชนีปี 64 เอาไว้เท่าเดิมที่ 1,770 จุด อิงจาก fwd P/E ที่ 19.3x และ EPS กลางปี 65 ที่ 92.0 ในขณะเดียวกันประเมินเป้าดัชนีในกรณีเลวร้ายที่สุดไว้ที่ 1,690 จุด อิงจาก fwd PE ที่ 18.4x ทั้งนี้ ยังคงเลือกหุ้นในธีมการท่องเที่ยว และ Reopening เป็นกลุ่มหลักในไตรมาส 3/64 ซึ่งได้แก่ KBANK, AOT, CPALL, MINT, BEM, MAJOR และ SPA

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 64)

Tags: , , , , , , , , , ,
Back to Top