โบรกฯมองกลุ่มแบงก์ H2/64 กำไรยังโตท่ามกลางแรงกดดันโควิด พร้อมเชียร์ BBL, KKP

โบรกเกอร์ มองหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) กำไรยังเติบโตได้ แต่อาจชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก (H1/64) รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ในประเทศ ส่งผลต่อแนวโน้มของการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 3/64 อาจชะลอตัวลง และยังต้องติดตามในไตรมาส 4/64 การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศจะคลี่คลายลงหรือไม่ หากคลี่คลายลงได้จะทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ในประเทศกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ช่วยหนุนความต้องการใช้สินเชื่อในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ขณะที่ทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ เพราะการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ แต่มองว่ากลุ่มธนาคารยังมีความแข็งแกร่ง จากระดับการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 150-160% ทำให้การตั้งสำรองฯในช่วงครึ่งปีหลังยังไม่เป็นปัจจัยที่เข้ามากดดันความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยด้านนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการหารือกับธนาคารพาณิชยย์เกี่ยวกับการปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยลงอีก รวมถึงการปรับลดวงเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ซึ่งจะมีผลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วย

หุ้นกลุ่มธนาคารที่น่าสนใจหลังจากที่ราคาหุ้นได้ย่อตัวลงมา และมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ยังต่ำกว่า 1 เท่า โดยเชียร์หุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) จากการตั้งสำรองฯที่สูง และคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยที่น้อยกว่าธนาคารอื่น และยังมีธนาคารเพอร์มาตา ในอินโดนีเซียที่เข้ามาหนุนผลการดำเนินงานของ BBL เต็มปี และหุ้นธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ก็น่าสนใจลงทุน จากที่ราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมาก และยังมีการจ่ายปันผลสูง อีกทั้งผลงานปีนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนเข้ามาช่วยหนุนผลการดำเนินงานของ KKP ในปีนี้ค่อนข้างมาก

หุ้น BBL ปิดเช้าที่ 113 บาท ลดลง 0.50 บาท (-0.44%) ส่วนหุ้น KKP ปิดเช้าที่ 55.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

โบรกเกอร์          คำแนะนำ  BBL ราคาเป้าหมาย
(บาท/หุ้น)
KKP ราคาเป้าหมาย
(บาท/หุ้น)
ทิสโก้                 ซื้อ15872
กสิกรไทย             ซื้อ15772
หยวนต้า (ประเทศไทย)             ซื้อ15071.5
ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)                  ซื้อ14967
เอเซีย พลัส            ซื้อ15465
โนมูระ พัฒนสิน                     ซื้อ15566
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์                  ซื้อ15169
เคทีบีเอสที              ซื้อ15065

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะไม่ได้โดดเด่นมากเท่ากับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าแนวโน้มกำไรของกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผลงานในช่วงไตรมาส 1/64 ของกลุ่มธนาคารที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเริ่มชะลอตัวในช่วงไตรมาส 2/64 จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 3

โดยที่ยังคงประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ไว้ที่เติบโต 14% จากปีก่อน โดยที่เป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และปีนี้ยังมองภาพการตั้งสำรองฯที่ไม่สูงมากเท่ากับปีก่อน แม้ว่ายังมีความเสี่ยงของการปรับเพิ่มขึ้นของ NPL ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งประเมิน NPL ไว้มีโอกาสแตะ 5% ในปีนี้ โดยที่ในช่วงไตรมาส 1/64 NPL ได้ปรับเพิ่มขึ้นมามาเล็กน้อย 4.1% แต่มองว่าระดับการสำรองฯของกลุ่มธนาคารที่ 150-160% ยังสามารถรองรับความเสี่ยงของ NPL ที่เพิ่มขึ้นโดย

สำหรับปัจจัยในช่วงครึ่งปีหลังของกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าเป็นเรื่องการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะทำให้การค้าขายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศกลับมา ซึ่งจะมีผลต่อความต้องการใช้สินเชื่อที่กลับมา แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2/64 การปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/64 แต่มองว่าหากการค้าขายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศกลับมาเปิดได้มากขึ้น จะช่วยผลักดันการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อได้อย่างมีนัยสำคัญ จากความมั่นใจของผู้ประกอบการที่กลับมา โดยที่ยังคงประมาณการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ไว้ที่ 3.5%

นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องติดตามว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการพิจารณาขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้ออกไปถึงปี 65 หรือไม่ หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ยังไม่คลี่คลายลง ประกอบการกับการพิจารณาปรับลดอัตราการนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินอีกหรือไม่ โดยในภาพรวมหุ้นกลุ่มแบงก์ยังมีความน่าสนใจในการลงทุนจากการที่ระดับ P/BV ส่วนใหญ่ยังคงต่ำกว่า 1 เท่า และยังมีโอกาสที่ผลประกอบการจะฟื้นกลับมาหากโควิด-19 คลี่คลายลง และเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ดี

โดยหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ที่แนะนำในช่วงครึ่งปีหลังเป็น BBL ที่มีความโดดเด่นจากราคาหุ้นที่ยังถือว่าไม่แพง และยังถือว่ามีอัพไซด์ทของราคาอยู่ อีกทั้งเป็นธนาคารที่มีการตั้งสำรองฯในระดับสูง และทิศทางกำไรยังมีแนวโน้มเติบโตได้ค่อนข้างดี จากการที่กลุ่มลูกค้าของ BBL ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก อีกทั้งยังมีธนาคารเพอร์มาตา ในอินโดนีเซียที่เข้ามาเสริมในปีนี้ทั้งปี ซึ่งทำให้ BBL มีความน่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลังนี้

ส่วนหุ้นธนาคารขนาดกลาง-เล็ก แนะนำ KKP จากมูลค่าหุ้นที่ยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับ TISCO ทำให้ KKP มีความน่าสนใจมากขึ้น แม้ว่าการจ่ายเงินปันผลของปี 63 จะลดลงเหลือไม่น้อยกว่า 40% จากเดิมที่ไม่น้อยกว่า 60% แต่มองว่าหากในช่วงปลายปีธปท.มีการพิจารณาให้ธนาคารพาณิชย์กลับมาจ่ายเงินปันผลได้มากกว่า 50% จะทำให้ KKP ยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงขึ้น และราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก

ด้านนายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย มองหุ้นกลุ่มแบงก์ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากการที่หน่วยงานต่างๆมีการปรับลดประมาณการจีดีพีไทยปีนี้ลดลง ซึ่งจะกดดันต่อทิศทางของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อที่อาจจะเริ่มเห็นการชะลอตัวลงได้ในระยะสั้น จากการที่ความมั่นใจของคนลดลง แต่ยังต้องลุ้นในช่วงไตรมาส 4/64 สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงชัดเจน และเริ่มกลับมาเปิดเมืองได้มากขึ้น ก็มีโอกาสที่กลุ่มธนาคารจะได้ประโยชน์ตามมาด้วยจากเศรษฐกิจที่ฟื้น ซึ่งประเมินสินเชื่อของกลุ่มธนาคารในครึ่งปีหลังจะทรงตัวจากครึ่งปีแรกที่หดตัว 1-2%

ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามเกี่ยวกับการพิจารณาปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในส่วนของสินเชื่อรายย่อย ซึ่งอาจจะส่งผลให้บางธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยในสัดส่วนที่มากได้รับผลกระทบบ้าง และการพิจารณาปรับลดวงเงินนำส่งกองทุน FIDF ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง โดยที่ในเบื้องต้นยังคงประมาณการเติบโตกำไรของกลุ่มธนาคารในปีนี้ไว้ที่ 10% จากปีก่อน

ด้านแนวโน้มของ NPL ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังไม่เพิ่มขึ้นมาก จากมาตรการการพักชำระหนี้ที่ขยายไปถึงสิ้นปี 64 ซึ่งคาดว่าระดับ NPL ของกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 4-5% อีกทั้งแนวโน้มในการตั้งสำรองฯคาดว่าจะไม่เผชิญกับแรงกดดันมาก เพราะธนาคารหลายแห่งต่างตั้งสำรองฯอยู่ในระดับสูงไปแล้ว ทำให้มีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ในระดับสูงถึง 150% ซึ่งยังมีความแข็งแกร่งและรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้

โดยที่หุ้นกลุ่มธนาคารยังมีความน่านสนใจจากอัพไซด์ที่ยังมีอยู่หลังราคาหุ้นปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก จากกระแสข่าวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมหารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อพิจารณาปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยลง ทำให้ราคาหุ้นย่อตัวลงมา และมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารยังมีความน่าสนใจ

สำหรับหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ที่มองว่าโตเด่นในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมองว่า BBL เป็นมีความน่าสนใจมากขึ้น จากการตั้งสำรองฯของ BBL ที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงถึง 187% ทำให้สามารถรองรับความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยไม่มาก หากมีการปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยอีกครั้ง มองว่า BBL จะไม่ได้รับผลกระทบมาก และยังมีธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซียที่เข้ามาเสริมทำให้ผลงานของ BBL ในปีนี้ยังมีความแข็งแกร่ง

ส่วนหุ้นธนาคารขนาดกลาง-เล็ก แนะนำ “ซื้อ” KKP ที่ทิศทางของคุณภาพสินเชื่อดีขึ้นอย่างมาก มีสัดส่วนลูกค้าที่อยู่ในมาตรการพักชำระหนี้น้อยเพียง 3% อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากรายได้จากค่าธรรมเนียมในส่วนของตลาดทุนที่เข้ามาหนุน จากการที่คนหันมาลงทุนเพิ่มขึ้น และการที่ยังมีดีล IPO ออกมา ทำให้ KKP มีรายได้ค่าธรรมเนียมเข้ามาเสริมอย่างโดเด่น และยังเป็นหุ้นที่มีราคา Laggard และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี

ส่วนนายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีความน่าสนใจและแนะนำทยอยซื้อสะสมได้ จากมูลค่าหุ้นที่ถือว่ายังถูก และมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ที่ยังค่อนข้างต่ำเพียง 0.6-0.7 เท่า และยังเป็นหุ้นที่ยังสามารถลงทุนถือในระยะกลาง-ยาวได้ เพื่อรับเงินปันผลระหว่างกาล และราคาที่ยังมีอัพไซด์ขึ้นได้อีก หากเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ชัดเจนที่หลังจากโควิด-19 คลี่คลาย

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นหุ้นกลุ่มแบงก์อาจจะยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ที่เข้ามากระทบต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้อยู่บ้าง แต่มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงมากเท่ากับการแพร่ระบาดครั้งแรกเมื่อปีก่อน ซึ่งทิศทางของ NPL ยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งประเมินว่าในภาพรวม NPL จะไม่เกิน 4.5% และปัจจัยด้านการตั้งสำรองฯยังมองว่าไม่เป็นปัจจัยกดดันให้กับกลุ่มธนาคาร เพราะได้มีการตั้งสำรองฯไปสูงมากแล้วตั้งแต่หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งแรก ซึ่งระดับ Coverage Ratio ที่ 150-160% สามารถรองรับความเสี่ยงของ NPL ได้ในระดับที่สูง

ขณะที่การปล่อยสินเชื่อคาดว่าจะเริ่มชะลอตัวลงมาบ้างตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2/64 เป็นต้นมา จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังมีทิศทางทรงตัวในระดับสูง ทำให้ความต้องการใช้สินเชื่อในภาพรวมอาจจะชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ยังต้องติดตามในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่าทิศทางการแพร่ระบาดโควิด-19 ลดลง และเริ่มมีการกลับมาเปิดกิจกรรมต่าง ๆ ในประเทศได้มากขึ้น ก็มีโอกาสทำให้สินเชื่อกลับมาขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และยังคงคาดการณ์กำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ไว้ที่เติบโต 15%

โดยหุ้นกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ที่เลือกเป็น Top pick ในช่วงครึ่งปีหลัง คือ BBL จากทิศทางของกำไรที่ยังเติบโตโดเด่นในช่วงไตรมาส 2/64 และยังเติบโตขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยการตั้งสำรองฯที่ไม่ต้องตั้งสำรองฯมากเหมือนปีก่อนแล้ว และยังเป็นธนาคารที่มีการตั้งสำรองฯในระดับสูง และมองว่ากลุ่มลูกค้าของ BBL จะไม่ได้รับผลระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 มาก เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ ทำให้ไม่เป็นห่วงเรื่องของการเร่งตัวขึ้นของ NPL อีกทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อรายยิ่ยของธปท.จะไม่ส่งผลกระทบต่อ BBL อย่างมีนัยสำคัญ เพราะมีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มาก

ส่วนหุ้นธนาคารขนาดกลและขนาดเล็กเลือก KKP จากราคาหุ้นที่ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเทียบกับ TISCO และเป็นหุ้นที่ยังมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง อีกทั้ง KKP ยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ดดเด่นในปีนี้จากธุรกิจตลาดทุนที่มีความคึกคัก ทั้งธุรกิจวาณิชธนกิจ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจบริหารจัดการกองทุนรวม ที่มีการเติบโตขึ้อย่างมาก ช่วยหนุนผลงานของ KKP ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 64)

Tags: , , , , , , , , , , ,
Back to Top