
ฮินซิซึฯ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย ลาเบลและซิลค์สกรีน โดยให้บริการออกแบบ พัฒนา และแปรรูปสิ่งพิมพ์มีกาว สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการจัดหาและพัฒนาวัตถุดิบ และออกแบบกระบวนการผลิตให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติเฉพาะตรงตามความต้องการของลูกค้า
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น ฮินซิซึ จะนำไปใช้ในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศเวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเจรจามาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามยังต้องรอสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายก่อนที่จะเดินทางเข้าไปเจรจาอีกครั้ง
นายธีรวุฒิ กล่าวว่า แม้ว่ารายได้ของ SIMAT ในปี 64 จะเติบโตจากปีก่อนไม่มาก แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40.78 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ของของ ฮินซิซึ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% ซึ่งมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในต่างประเทศ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคลี่คลายลง ทำให้กลุ่มลูกค้าส่งคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น
“ปีก่อนมีสัดส่วนรายได้จากงานก่อสร้างมูลค่า 400-500 ล้านบาท แต่ในปีไม่มีสัดส่วนรายได้ดังกล่าวแล้ว ทำให้ภาพรวมรายได้อาจจะเติบโตไม่มาก แต่อย่างไรก็ตามรายได้จาก ฮินซิซึ มีการเติบโตค่อนข้างมาก และมีมาร์จิ้นสูงถึง 40% ทำให้ทิศทางกำไรสุทธิมีโอกาสการเติบโตค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน เห็นได้จากช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิแล้ว 17.08 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นเป็น 10.21% จากปีก่อนที่ทำได้ 6.38%”
นายธีรวุฒิ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 64)