SNNP กำหนดช่วง IPO ที่ 8.7-9.2 บ./หุ้น เคาะราคาสุดท้าย 12 ก.ค.เปิดขาย 7-14 ก.ค.

บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหุ้นที่หุ้นละประมาณ 8.70-9.20 บาท โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อในช่วงวันที่ 7-9 ก.ค.ที่ราคาสูงสุดเบื้องต้นคือหุ้นละ 9.20 บาท จากนั้นจะตัดสินราคาสุดท้ายในวันที่ 12 ก.ค.64 ส่วนนักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ 12-14 ก.ค.

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ ตัวแทน บล.ไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น SNNP กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างทำการสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) คาดว่าจะประกาศได้ภายในวันที่ 12 ก.ค. อย่างไรก็ตาม หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อ บริษัทจะคืนเงินส่วนเกินให้แก่นักลงทุนรายย่อยต่อไป ส่วนนักลงทุนสถาบันจะจองซื้อในวันที่ 12-14 ก.ค.ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย

บล.ไทยพาณิชย์ จะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ 5 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บล.เคทีบีเอสที, บล.กรุงศรี, บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.คันทรี่กรุ๊ป และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)

ปัจจุบัน SNNP มีทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 960 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 360 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 240 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจะส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม อีกส่วนหนึ่งจะนำไปชำระเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และส่วนสุดท้ายจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท

นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SNNP เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้แตะ 8,000 ล้านบาทภายในปี 69 โดยการระดมทุนในครั้งนี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยต่อยอดแบรนด์สินค้า และแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอให้หลากหลายเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละประเทศ (Localization) รวมถึงสร้างความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตและระบบกระจายสินค้าที่ครอบคลุมในภูมิภาค CLMV ซึ่งจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ SNNP ให้เติบโตเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของอาเซียน

โดยบริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ประกอบด้วย เจเล่ คูลลี่คูล ไดยาโมโตะ ฮีโร่บอยส์ และอควาวิตซ์ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ประกอบด้วย เบนโตะ ทาโกะ โลตัส ช๊อคกี้ และเบเกอรี่เฮาส์

“เรามีวิสัยทัศน์มุ่งเน้นความเป็นเลิศทั้งในด้านคุณภาพและการบริการ รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้เป็นหนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ภายใต้ทีมวิจัยและพัฒนาที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าใหม่ที่มีความหลากหลาย ตลอดจนมีระบบการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม อีกทั้งยังมีฐานการผลิตและการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ”

นายวิวรรธน์ กล่าว

ด้านนายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ SNNP กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทจะต่อยอดแบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดและมีศักยภาพ อาทิ เจเล่ เบนโตะ เมจิกฟาร์ม โลตัสขาไก่ และเครื่องดื่มอควาวิตซ์ เป็นต้น และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความหลากหลาย รวมทั้งพัฒนารสชาติ ขนาดและราคา ให้เหมาะกับเทรนด์การบริโภคและกำลังซื้อในแต่ละประเทศ (Localization) ซึ่งจะสามารถยกระดันผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่าย โดยดำเนินกลยุทธ์ในการกระจายสินค้าตามช่องทางหลัก ได้แก่ ค้าส่ง ค้าปลีก ช่องทางโมเดิร์นเทรด ออนไลน์ และเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริหารและพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย พร้อมทั้งส่งเสริมกลยุทธ์การขายและบริหารพื้นที่จัดจำหน่ายในแต่ละช่องทาง

ทั้งนี้ บริษัทได้จัดตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ได้แก่ บริษัท สิริ โปร จำกัด ซึ่งมีทีมผู้บริหารและทีมขายที่มีประสบการณ์และความสามารถในการกระจายสินค้าให้กับบริษัท โดยปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้า 11 แห่ง ครอบคลุมทั่วทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งสามารถกระจายสินค้าถึงกลุ่มร้านค้าทั้งค้าปลีกกว่า 70,000 ร้านค้า และร้านค้าส่งกว่า 3,600 ร้านค้า ทำให้สามารถตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้เปรียบในเชิงการแข่งขันให้กับบริษัท

ขณะที่นายฐากร ชัยสถาพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจต่างประเทศ SNNP กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทมีศักยภาพที่จะเติบโตในภูมิภาค CLMV ได้อีกมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตของตลาดสูง โดยมีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของกลุ่มประชากรที่เป็นชนชั้นกลาง ประกอบกับมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มแบบพร้อมรับประทานขยายตัวมากขึ้น โดยกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทจะต่อยอดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่เป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย โดยบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยในกัมพูชา ได้แก่ S.C Food Products Co., Ltd. STVV Development Co., Ltd. และ S.C Food Trading Co., Ltd. ปัจจุบันโรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย

สำหรับในประเทศเวียดนาม บริษัทมีแผนเข้าลงทุนผ่าน S.T. Food Marketing Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อผลิตขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเยลลี่สำเร็จรูปและจัดจำหน่ายในประเทศเวียดนาม โดยได้เริ่มก่อสร้างโรงงานแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตสินค้าเฟสแรกในปี 65 ส่วนเฟสสองจะแล้วเสร็จในปี 66 ทำให้บริษัทมีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม จำนวน 6 แห่ง ครอบคลุมประชากรกลุ่มประเทศ CLMV+T รองรับกับความต้องการของตลาดที่มีประชากรกว่า 250 ล้านคน และยังเป็นฐานการผลิตส่งออกสินค้าไปตลาดอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทส่งออกไปยัง 5 ทวีป รวมกว่า 35 ประเทศทั่วโลก

นอกจากนั้น บริษัทยังจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศจีนและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ลงทุนในการสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้บริโภค และขยายประสิทธิภาพในช่องทางการจัดจำหน่าย เสาะหาแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการผลิตให้แก่กลุ่มบริษัท

นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบัญชีและการเงิน SNNP กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต สร้างฐานการผลิตและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและมั่นคงทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนลงทุนระบบไอทีและนำ Data เข้ามาช่วยวิเคราะห์ตลาดและด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่บริษัท

สำหรับการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทยังมีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 172 ล้านบาท เติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top