ครม.เห็นชอบกรอบเจรจาว่าด้วยการอุดหนุนประมงในเวทีประชุมรัฐมนตรี WTO

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบเจรจาของไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) เรื่องการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง ซึ่งจะมีการประชุมผ่านระบบทางไกล ในวันที่ 15 ก.ค. 64 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

สาระสำคัญของกรอบเจรจา ประกอบด้วย

  1. ห้ามให้การอุดหนุนการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing)
  2. ให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำที่ดี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณาว่าประเทศสมาชิกสามารถให้การอุดหนุนแก่ภาคประมงได้ต่อไปหรือไม่
  3. ให้มีการปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่าง (Special and Differential Treatment : SDT) แก่ประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย

ฝ่ายไทยจะผลักดันให้การเจรจาความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง หาข้อสรุปในการประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ 12 ที่จะจัดประชุมระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 3 ธ.ค. 64 ซึ่งร่างความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง มีสาระสำคัญประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก ดังนี้

  1. ห้ามการอุดหนุนประมงที่ให้แก่เรือประมงหรือผู้ประกอบการประมง หลังจากถูกตัดสินว่าทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม
  2. ห้ามให้การอุดหนุนประมงในพื้นที่ที่ทรัพยากรสัตว์น้ำร่อยหรอ และไม่อยู่ในระดับที่ยั่งยืน (Overfished Stocks)
  3. ห้ามให้การอุดหนุนประเภทที่นำไปสู่การทำประมงที่เกินศักยภาพ (Overcapacity) หรือการทำประมงที่เกินขนาด (Overfishing) เช่น การอุดหนุนเพื่อปรับปรุงเครื่องมือทำประมง ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง จนทำให้สามารถจับสัตว์น้ำได้มากกว่าปกติ
  4. ประเด็นอื่น ๆ เช่น การปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่าง (SDT) ไปจากข้อ 1-3 โดยยกเว้นให้ประเทศกำลังพัฒนา (รวมถึงไทย) เช่น ยังคงให้การอุดหนุนแก่ประมงที่มีรายได้ต่ำ ขาดแคลนทรัพยากร ต่อไปได้อีก 2 ปี นับจากวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้

น.ส. รัชดา กล่าวด้วยว่า การจัดทำความตกลงนี้สอดคล้องกับการดำเนินการและท่าทีของไทยที่มีการปฏิรูปกฎหมายด้านการประมงตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยที่ประชุมเห็นควรให้มีการผลักดันประเด็นสำคัญของไทยในการเจรจาจัดทำความตกลงฯ ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันในการส่งออกสินค้าประมงไปตลาดโลกได้อย่างเท่าเทียม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ก.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top