LALIN เดินหน้าเปิดอีก 2 โครงการใหม่ช่วงครึ่งปีหลังเน้นตลาดกลุ่ม Real Demand

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) กล่าวว่า การขยายธุรกิจในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมาของปีมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ

แม้บริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/64 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.64 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอย่างมาก และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลข Net D/E ณ สิ้นไตรมาส 2/64 อยู่ที่ระดับเพียง 0.28 เท่า สะท้อนความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ และศักยภาพในการขยายธุรกิจของบริษัท

อีกทั้งบริษัทเพิ่งประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 400 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.90% โดยในปีนี้มีการออกหุ้นไปแล้ว 2 ครั้ง มูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท

นายชูรัชฎ์ กล่าวว่า ในปี 64 เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก เกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย จากสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายได้เร็ว และวัคซีนที่มีในปัจจุบันมีประสิทธิภาพที่ลดลงเมื่อเจอกับสายพันธุ์ดังกล่าว ในประเทศไทยเกิดการระบาดระลอกสามที่รุนแรงและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่า 20,000 คน/วันในปัจจุบัน ซึ่งได้ส่งกระทบทั้งต่อสังคม และเศรษฐกิจของไทยอย่างรุนแรง ซึ่งภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจ

ในส่วนของบริษัทแม้การทำงานจะมีความยากลำบากมากขึ้นจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย แต่การที่บริษัทมีการบริหารงานอย่างรัดกุม เน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) บวกกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในราคาที่คุ้มค่า ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 3,194.5 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% ซึ่งนับว่าเติบโตได้ดีสวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรม

ขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การควบคุมต้นทุนทางด้านการขาย และต้นทุนในการบริหารทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 10.1% มาอยู่ที่ 9.3% ส่งผลให้ในครึ่งปีแรกของปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 674 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.73 บาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 518.5 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 30%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ส.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top