เพื่อไทย ชี้รัฐบาลแก้โควิดล็อกดาวน์ไร้แบบแผน ทำธุรกิจปิดตัว-ทิ้งมรดกหนี้สินอื้อ

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจว่า จากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยวและบริการ อุตสาหกรรมและเอสเอ็มอี และภาคแรงงาน ส่งผลให้ธุรกิจปิดตัวและเตรียมเลิกกิจการหลายแสนราย ความเสียหายนับล้านล้านบาท หลายแห่งหยุดกิจการเพราะไม่มีเงินทุนต่อ การจ้างงานลดลง รายได้เป็นศูนย์ แต่ยังมีภาระหนี้สินและดอกเบี้ย และส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ในระบบว่างงานเกือบล้านคน เด็กจบใหม่หางานทำไม่ได้ คนไทยขาดอาชีพ ขาดรายได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังไร้อนาคต เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิดได้

ทั้งนี้ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตอยู่ในอันดับรั้งท้ายของภูมิภาคและของโลก ซึ่งเกิดจากการไร้ความสามารถของผู้นำ และจากการประเมินจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ -1.5 ถึง 0% ส่งผลให้ไทยมีการขยายตัวหดตัวติดลบ 2 ปีต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจโลกมีการคาดการณ์กันไว้ว่า จะกลับมาขยายตัวที่ 6% แต่ไทยยังติดลบ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ยังติดลบ 2 ปีต่อเนื่อง คือ เวเนซุเอลา ภูฏาน และไทย เป็นผลจากการบริหารที่ผิดพลาดจากรัฐบาลปัจจุบัน และธนาคารโลกมีการประเมินว่า คนยากจนในไทยสูงถึง 5.8 ล้านคนซึ่งเป็นการประเมินก่อนมีการประกาศล็อกดาวน์รอบที่ 3

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมา คนไทยต้องเจอกับเศรษฐกิจแบบ Worst-Case Scenario เพราะอยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีที่เป็นแบบ Worst-Case Prime Minister ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

ซึ่งการที่รัฐบาลล็อกดาวน์แบบไม่มีแบบแผน ส่งผลให้ภาคธุรกิจ ร้านค้า โรงแรม ทยอยปิดตัวต่อเนื่อง ความเสียหายนับล้านล้านบาท และส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ในระบบว่างงานเกือบล้านคน ส่วนเด็กจบใหม่แทบหางานทำไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลควรใช้มาตรการคงการจ้างงาน โดยรัฐอุดหนุดเงินให้กับภาคธุรกิจ และภาคธุรกิจต้องคงระดับการจ้างงานให้ได้ เพื่อไม่ให้ลูกจ้างตกงาน เศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ การล็อกดาวน์ร้านค้าต่างๆ กระทบเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นภาคผลิต วัตถุดิบสินค้าสูงขึ้น ผู้บริโภคซื้อสินค้าแพงขึ้น

ส่วนความสามารถในแข่งขันของประเทศ ไทยเคยเป็นเป้าหมายการลงทุนของโลก มีภูมิศาสตร์ที่ดี มีทรัพยากรที่ดี แต่ 8 ปีที่ผ่านมา เรากลับเป็นคนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การส่งออกไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก กฏระเบียบยังเป็นภาระตัวถ่วงให้กับเอกชนไทย แรงงานไทยไม่ได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ การส่งออกไทยใช้เทคโนโลยีขั้นต่ำ

ส่วนมรดกตกทอดจากรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ คือหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หนี้ภาคการเงินการธนาคาร เป็นภาระที่ต้องแก้ปัญหาในอนาคต ซึ่งนายกฯก่อหนี้สินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 8 ปี กู้มาแล้ว 9 ล้านล้านบาท แต่ไม่มีปัญญาหาเงินชำระหนี้

“ถ้าบริหารงบเป็น เราคงไม่ต้องกู้มากมายมหาศาลขนาดนี้ เพราะเงินที่กู้มา เปรียบเสมือนเรายืมเงินของลูกหลานในอนาคตมาใช้ รวมถึงมีการจัดสรรงบประมาณไม่ทันโลก ยังมีแนวคิดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ควรนำเงินไปซื้อวัคซีนดีๆมากกว่า”

ทั้งนี้ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไตรมาส 1/64 มีหนี้ครัวเรือน 90.5% ของจีดีพี คิดเป็น 14.1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบ และชี้ให้เห็นว่า ยิ่งอยู่ในตำแหน่งนาน คนไทยยิ่งเป็นหนี้ยิ่งจนลงๆ ยิ่งอยู่นานยิ่งเจ๊ง

นอกจากนี้ การบริหารประเทศ 8 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความเลื่อมล้ำสังคมไทยมากขึ้นๆ กลุ่มคนรวยรวยขึ้นมา 1.217 ล้านล้านบาท และเศรษฐกิจไทยปี 63-64 ติดลบ 6.4% แต่มี 10 อันดับคนที่รวยที่สุดในไทย รวยเพิ่มขึ้น 5.76 แสนล้านบาท แต่ไทยรั้งท้ายขบวนฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด 19

“เศรษฐกิจไทย เจ็บจริง จนจริง บริษัทเจ๊ง คนตกงาน เต็มไปด้วยความยากจน เต็มไปด้วยหนี้สิน สุดท้ายถือแต่บัตรคนจน บัตรขอทาน”นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในตัวพล.อ.ประยุทธ์ หมดไปแล้ว และถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง จึงอยากให้สภาแห่งนี้ลงมติไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top