CPANEL ลั่นพร้อมลุยขยายกำลังผลิตเท่าตัวรับโอกาสโตหลังขาย IPO กลาง ก.ย.นี้

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีแพนเนล (CPANEL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพร้อมขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) หลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอไอ (mai) เพื่อต่อยอดการเติบโต หลังจากตุนงานในมือ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้ต่อเนื่องในช่วง 3 ปีจากนี้แล้ว

บริษัทมองโอกาสการเติบโตของตลาดพรีคาสต์จะอยู่ในระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี จากการลงทุนของผู้ประกอบการในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน และโรงแรม รวมถึงการลงทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมที่มีการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้า หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว จะทำให้ปริมาณความต้องการใช้พรีคาสต์กลับมาเติบโตได้ เห็นได้จากปีนี้ที่ปริมาณออเดอร์พรีคาสต์กลับมาเพิ่มขึ้น ทำให้การใช้กำลังการผลิตของโรงงานในปัจจุบันเพิ่มมาอยู่ที่ 70% แล้ว สูงกว่าช่วงปี 62 ก่อนเกิดสถานการณืโควิด-19 ที่อยู่ในระดับ 66%

ปัจจุบันโรงงานของบริษัทมีกำลังการผลิตรวม 700,000 ตารางเมตร/ปี โดยเม็ดเงินจากการระดมทุนด้วยการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งกว่า 500 ล้านบาทจะนำไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตพรีคาสต์แห่งใหม่ที่จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรือเพิ่มเข้ามาราว 720,000 ตารางเมตร/ปี เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการใช้พรีคาสต์ในอนาคต คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในไตรมส 2/65 และจะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/67

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการควบคุมและบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ต้นทุนการผลิตมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทได้มีการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ในการควบคุมราคาต้นทุนการผลิต ทำให้บริษัทยังไม่มีการปรับราคาขายกับลูกค้ามาก รวมถึงการบริหารจัดการสต็อกของบริษัทที่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ต้นทุนในการเก็บสินค้าในสต็อกลดลงมาต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง ซึ่งในสิ้นเดือนมิ.ย. 64 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 38% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 40% ในระยะต่อไป

สำหรับทิศทางผลประกอบการในปีนี้ นายชาคริต กล่าวว่า บริษัทยังมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 1.15 พันล้านบาทที่เป็นออเดอร์ล่วงหน้าถึง 3 ปี (ปี 64-66) โดยส่วนหนึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังราว 228 ล้านบาท, ปี 65 ราว 527 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจรับรู้ในปี 66 อีก 401 ล้านบาท ขณะที่ยังมีออเดอร์ใหม่ๆ จากลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตามแผนลงทุนก่อสร้างบ้านและอาคารต่างๆ ที่ยังมีเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในตลาดที่มีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

“CPANEL เป็นที่รู้จักในวงการอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เนื่องจาก Precast Concrete เป็นวัสดุที่ช่วยแก้ปัญหางานก่อสร้าง ลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ แม้ขณะนี้จะยังมีสัดส่วนการใช้งานไม่มากนัก แต่จากความรวดเร็วและลดขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงลดจำนวนแรงงาน ส่งผลให้ต้นทุนรวมของโครงการที่ใช้ Precast Concrete ลดลงโดยเฉลี่ย 15% และลดในส่วนของต้นทุนแรงงานประมาณ 50% ซึ่งทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้รับเหมาก่อสร้างนิยมหันมาเลือกใช้ Precast Concrete มากขึ้น บริษัทจึงเตรียมระดมทุนเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ด้วยระบบการผลิต Fully Automated เพื่อขยายธุรกิจ รองรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต โดยการให้ข้อมูลในงานโรดโชว์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ยังสามารถเติบโตได้” 

นายชาคริต กล่าว

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ CPANEL เปิดเผยว่า ขณะนี้ CPANEL ได้เริ่มจัดให้ข้อมูลกับนักลงทุน (โรดโชว์) หลังได้รับการอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทเตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 39.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท

การจัดโรดโชว์ครั้งนี้ได้กระแสตอบรับที่ดี เนื่องจาก CPANEL เป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่น เป็นหนึ่งในผู้นำตลาด Precast Concrete และที่ผ่านมาบริษัทสามารถเติบโตได้แม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จากความสามารถในการบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างดี ในขณะที่สินค้ามีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากลที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน อีกทั้งบริษัทรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้จำหน่ายวัตถุดิบ และลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำมาเป็นเวลานาน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

“มั่นใจว่า CPANEL จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง และมีแนวโน้มเข้ามาทดแทนการก่อสร้างแบบเดิม จึงมีโอกาสเติบโตจากความต้องการที่ทยอยเพิ่มขึ้น อีกทั้งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีความสามารถการทำกำไรที่ดี และมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งภายหลังการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาด อีกทั้งมีโอกาสขยายธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพตามเป้าหมายที่วางไว้” 

นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะแกนนำในการเสนอขายหุ้น IPO ของ CPANEL กล่าวว่า กระบวนการเสนอขายหุ้น IPO ของ CPANEL และการเข้าซื้อขายในตลาด mai คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ย. 64 โดยจะมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นภายหลังโรดโชว์และให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์แล้ว พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นต่อไป คาดว่าจะเปิดให้จองหุ้นในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย.64 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายใน mai ก่อนสิ้นเดือน ก.ย.นี้ โดยเชื่อมั่นว่านักลงทุนจะให้การตอบรับการเสนอขาย IPO อย่างคึกคัก

ทั้งนี้ การระดมทุนของ CPANEL จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท โดยเฉพาะด้านการเงิน เนื่องจากการที่บริษัทนำเงินอีกส่วนจากการเสนอขายหุ้น IPO ไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้หนี้สินลดลงไปมาก โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือไม่เกิน 0.5 เท่า จากสิ้นไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 2.5 เท่า ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงไปมาก ทำให้มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ทีมผู้บริหารของ CPANEL มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และมีฐานลูกค้าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทมีออเดอร์จากกลุ่มลูกค้าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดพรีคาสต์ลำดับต้นๆ ทำให้ลูกค้ามีความไว้วางใจและเลือกสั่งซื้อพรีคาสต์ของบริษัท ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากยิ่งขึ้น ผนวกกับในช่วงไตรมาส 1/67 ที่มีกำลังการผลิตจากโรงงานแห่งใหม่ที่บริษัทนำเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO ไปใช้ลงทุนก่อสร้างในปี 65 ทำให้ในปี 67 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และจะทำให้อัตรากำไรสุทธิในอนาคตมีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบันที่ 11-13%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ย. 64)

Tags: , , , , , , , , , ,
Back to Top