ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าลบ นลท.ยังจับตาวิกฤตเอเวอร์แกรนด์

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลงในวันนี้ โดยนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของจีนซึ่งมีปัญหาด้านสภาพคล่องและมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้

  • ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 29,898.57 จุด ร่วงลง 601.48 จุด หรือ -1.97% และ
  • ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 24,022.12 จุด ลดลง 77.02 จุด หรือ -0.32%

นักลงทุนยังคงจับตาความเคลื่อนไหวของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป โดยเอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) คาดการณ์ว่า บริษัทมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้ และเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะไม่ให้การสนับสนุนโดยตรงแก่เอเวอร์แกรนด์

S&P ระบุว่า “เราเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะถูกบีบให้ยื่นมือเข้ามา หากการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ส่งผลให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อีกหลายรายต้องล้มละลายและสร้างความเสี่ยงเชิงระบบต่อเศรษฐกิจ แต่การล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์เพียงรายเดียวนั้น อาจจะไม่ทำรัฐบาลเข้ามาดำเนินการใดๆ”

ราคาหุ้นเอเวอร์แกรนด์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลของจีนเตือนว่า หนี้สินของเอเวอร์แกรนด์จำนวน 3.05 แสนล้านดอลลาร์นั้น อาจสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในระบบการเงินของจีน หากไม่มีการจัดการกับหนี้สินของเอเวอร์แกรนด์อย่างเหมาะสม

ก่อนหน้านี้ S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของเอเวอร์แกรนด์ลงสู่ระดับ CC จากระดับ CCC โดยให้แนวโน้มการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเป็นลบ เนื่องจากสภาพคล่องของเอเวอร์แกรนด์ลดน้อยลง และบริษัทมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ โดยในวันที่ 23 ก.ย.นี้ เอเวอร์แกรนด์มีกำหนดชำระดอกเบี้ย 83.5 ล้านดอลลาร์ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดครบอายุเดือนมี.ค. 2565 และในวันที่ 29 ก.ย.นี้ บริษัทมีกำหนดชำระดอกเบี้ย 47.5 ล้านดอลลาร์ของหุ้นกู้ที่ครบอายุเดือนมี.ค. 2567

หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันในการชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ย. 64)

Tags: ,
Back to Top