แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยเช้าแกว่งไซด์เวย์จากปัจจัยนอกปท.กดดัน-ในปท.ดีขึ้นตามลำดับ

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์คล้ายตลาดภูมิภาคที่เช้านี้แกว่งบวก-ลบ หล้ง”ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป”ผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งที่ 2 อีกทั้งปัจจัยหลัก จับตาเพดานหนี้สหรัฐฯ รวมถึง Bond yield สหรัฐยังสูงหากขึ้นต่อเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศดูดีขึ้นตามลำดับ แม้สถานการณ์น้ำท่วมกดดันแต่เป็นผลดีต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และยังลงทุนหุ้น Laggard และรับประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯได้ ดังนั้น ตลาดฯคงแกว่งในกรอบไม่กว้าง ให้แนวรับ 1,610-1,600 แนวต้าน 1,620-1.630 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบ หลังจากบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งที่ 2

อีกทั้งปัจจัยหลักยังต้องจับตาเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐฯ เพราะทำให้มีผลต่อการ Shut Down ของบริษัทฯในสหรัฐฯ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 1.5% ซึ่งจะต้องติดตามดูว่า Bond yield จะปรับตัวขึ้นอีกหรือไม่ เพราะหากยังขึ้นอยู่ก็จะเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น

ขณะที่ปัจจัยในประเทศดูดีขึ้นตามลำดับ แม้จะมีแรงกดดันจากสถานการณ์น้ำท่วม แต่ก็เป็นผลดีต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อย่าง HMPRO สำหรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/64 คาดว่าจะออกมาไม่ดีเท่าไร อย่างไรก็ดีสามารถลงทุนหุ้นที่ยัง Laggard และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ

ดังนั้น ตลาดฯคงจะแกว่งในกรอบไม่กว้าง โดยมีแนวรับ 1,610-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620-1.630 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (29 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,390.72 จุด เพิ่มขึ้น 90.73 จุด (+0.26%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,359.46 จุด เพิ่มขึ้น 6.83 จุด (+ 0.16%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,512.44 จุด ลดลง 34.24 จุด (-0.24%)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 5.64 จุด (+0.16%), ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 24.90 จุด (+0.08%) และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 169.24 จุด (-0.69%)

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (29 ก.ย.)1,616.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด (+0.03%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,184.27 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 ก.ย.64

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (29 ก.ย.) ปิด 74.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.6%

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (29 ก.ย.) อยู่ที่ 5.82 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.95 อ่อนค่าจากวานนี้ตามทิศทางตลาดโลก ลุ้นวันนี้มีโอกาสแตะ 34.05

– กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% พร้อมปรับประมาณการเศรษฐกิจ จีดีพีปี 64 ขยายตัว 0.7% เท่าประมาณการเดิม ปี 65 ขยายตัว 3.9% ระบุเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงสูง จากการกลายพันธุ์ของโควิด มาตรการควบคุม ความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน

– “บีทีเอส” ยื่นฟ้อง “กทม.” จ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่า 3 หมื่นล้าน รับแบกภาระเป็นเหตุต้องกู้เงินหนุนธุรกิจพร้อมเดินหน้าค้านหลักเกณฑ์ใหม่ประมูลสายสีส้ม ชี้หาก รฟม.ยันใช้เกณฑ์คะแนนด้านเทคนิค ต้องตอบชัดเงื่อนไขพิจารณา “ศักดิ์สยาม” สั่งลุยประมูลสายสีส้ม ไม่ต้องรอศาลอาญาพิจารณาคดี

– “อาคม” มั่นใจ “จีดีพี” ปีนี้ไม่ติดลบ เตรียมออกมาตรการชุดใหญ่กระตุ้นกำลังซื้อเพิ่ม ปลุกประชาชนเอสเอ็มอีใช้จ่าย ชี้รัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องกู้เพิ่มยามวิกฤติ ช่วยประชาชน ด้าน”หอการค้า” มั่นใจเศรษฐกิจไตรมาส 4 ฟื้น “ซีพี” แนะรัฐปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ “เอสซีจี” ชู 4 เทรนด์ทางรอด “ปตท.” อัด 1.8 ล้านล้านใน 5 ปี ปลุกเศรษฐกิจ

– อุตฯ โชว์ดัชนี MPI 8 เดือนขยายตัว 7.13% แต่เดือน ส.ค.อ่วม! วูบกว่า 4% เหตุโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน-ขาดแคลนชิปทั่วโลก ลั่นคงเป้าเติบโตดัชนีทั้งปีนี้ที่ 4-5% ด้าน “จุรินทร์” เผยตัวเลขการค้าชายแดน ส.ค.64 พุ่งต่อเนื่อง ทำรายได้โต 39%

– ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงานเป็นประธาน ได้มีการหารือมาตรการเพื่อรับมือราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่พุ่งขึ้นแตะ 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล, ราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ราคาตลาดตะวันออกกลาง (ซีพี) ที่ปรับตัวเฉลี่ย 770 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน นับเป็นราคาที่เหนือการคาดการณ์ เนื่องจากความต้องการใช้ทั่วโลกได้สูงขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิด-19 โดยที่ประชุมได้พิจารณาที่จะขยายกรอบดูแลราคาแอลพีจีเป็น 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 18,000 ล้านบาท และเตรียมพร้อมมาตรการกรณีราคาน้ำมันดีเซลที่อาจจะสูงขึ้นจนเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจของประเทศไทย
*หุ้นเด่นวันนี้

– UBE (บมจ.อุบล ไบโอ เอทานอล) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยราคาขาย IPO ที่ 2.40 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 3.30 บาท คาดกำไรปี 64-66 เติบโต 190%/52%/21% ตามลำดับ UBE เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โรงงานตั้งอยู่ในแหล่งเพาะปลูก มีต้นทุนในการจัดหาวัตถุดิบต่ำ และรองรับวัตถุดิบได้หลายประเภท ธุรกิจเอทานอลเป็นฐานรายได้ที่มั่นคงแต่เติบโตต่ำ การเติบโตของ UBE ในอนาคตจะมาจากธุรกิจแป้งมันออร์แกนิคและแป้งฟลาวซึ่งมีอัตรากำไรสูง (Finansia เป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)

– CPANEL (บมจ.ซีแพนเนล) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยมีราคาขาย IPO ที่ 6.00 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเป้าหมายที่ 9.00 บาท คาดกำไรในช่วงปี 2021-2023 +83% CAGR โดย CPANEL ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้น ผนัง รวมถึงส่วนประกอบอาคารที่ผลิตจากคอนกรีตสำเร็จรูป จุดเด่นคือการต่อยอดสินค้าให้เป็น High Value และพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้เทคโนโลยีและใช้ระบบ Fully Automated ปัจจัยการเติบโตมาจากตลาดอสังหาฯแนวราบที่ขยายตัวและนิยมใช้ Precast มากขึ้น (Finansia เป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)

– EPG (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ”เป้า IAA Consensus 16 บาท แนวโน้มผลประกอบการ Q2/64-65 (ก.ค.-ก.ย.) ยังเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่จะอ่อนตัวลง QoQ รับผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ แนวโน้มในช่วงที่เหลือปีนี้ยังมีทิศทางบวกแม้ต้นทุนวัตถุดิบมีโอกาสปรับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่บริษัทสต็อกวัตถุดิบการผลิตไว้แล้ว รวมถึงทยอยปรับเพิ่มราคาขายชดเชยในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่าจากรายได้ส่งออกราว 60-70% ทำให้เชื่อว่ายอดขายทั้งปี 64-65 มีโอกาสเติบโต 12-15%YoY หรือราว 1.1 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายของผู้บริหาร ส่วนกำไรสุทธิคาดราว 1.6 พันล้านบาท เติบโตเด่นจากปีก่อน

– CK (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้าปี 65 ที่ 25 บาท โมเมนตัมกำไรกำลังเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหญ่ทั้งธุรกิจรับเหมาฯหลังคลาย Lockdown และคาดได้งานโครงการใหญ่เพิ่มหนุน Backlog แตะ 1 แสนลบ.อีกครั้งสิ้นปีนี้ ส่วนบริษัทลูกมีแนวโน้มเติบโตแข็งแรงทั้ง CKP TTW ส่วน BEM อยู่ในช่วงของการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย โดยคาดกำไรปี 64-65 +48% Y-Y และ +63% Y-Y ตามลำดับ พร้อมให้แนวรับ 20-20.20 บาท แนวต้าน 21/21.50 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top