นายกฯ Kick off ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนร.วันแรก ย้ำมีวัคซีนเพียงพอตามเป้าหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดงาน Kick off สร้างเกราะป้องกันด้วยวัคซีน เด็กปลอดภัย เรียนอุ่นใจ ต้อนรับเปิดเทอม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนในเด็ก พร้อมชูมาตรการ Sandbox ลดความเสี่ยงของโควิด-19 ที่โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร โดยมี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เข้าร่วม

สำหรับบรรยากาศ รร. พิบูลอุปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร มีประชาชนมารอต้อนรับ พร้อมมอบดอกไม้และกล่าวให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการทำงาน พร้อมขอให้ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจ ในการช่วยเหลือประชาชนออกไปอีก โดยนายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยทักทายอย่างเป็นการเอง

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขวางแนวทางฉีดวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 12-18 ปีระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือเทียบเท่าประมาณ 4.5 ล้านคนทั่วประเทศ โดยระยะแรกได้จัดสรรวัคซีน 2 ล้านโดส ในต้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งบูรณาการกับงานอนามัยโรงเรียน เพื่อให้เด็กเข้าถึงวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี คาดหวังว่า การฉีดวัคซีนให้วันนี้ จะทำให้การติดเชื้อในอนาคตลดลง โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่งวันนี้มีวัคซีนไฟเซอร์เพียงยี่ห้อเดียวที่ได้รับการรับรองจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้สามารถฉีดกับเด็กนักเรียนได้ ซึ่งต้องยึดความปลอดภัยเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามวัคซีนย่อมมีความเสี่ยง จึงต้องขอความยินยอมจากผู้ปกครองในการเข้ารับการฉีดวัคซีน

ส่วนวัคซีนซิโนฟาร์ม อยู่ระหว่างรอผลการขึ้นทะเบียน เนื่องจากมีการพัฒนาขึ้นมาใหม่สำหรับฉีดในเด็ก ซึ่งทุกอย่างกระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามอยู่ เช่นเดียวกับวัคซีนยี่ห้ออื่นที่จะมีการพัฒนาขึ้นมาและรัฐบาลจะสั่งมาในปีหน้าอย่างแน่นอน พร้อมย้ำวัคซีนมีเพียงพอตามเป้าที่ตั้งไว้ สิ่งสำคัญนอกจากวัคซีนคือการปฎิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T

ด้านน.ส.ตรีนุช กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกของการ Kick off ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนักเรียน อายุระหว่าง 12-18 ปี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และรองรับการเปิดภาคเรียน โดยเบื้องต้นวันนี้จะเป็นการฉีดวัคซีนเข็มแรกพร้อมกัน 15 จังหวัด ใน 13 เขตสุขภาพ ซึ่งนักเรียนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนทั้งหมดต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง โดยขณะนี้ทั่วประเทศผู้ปกครองตอบรับยินยอมให้ฉีดวัคซีนแล้ว 80% ส่วนวัคซีนเข็มที่ 2 ทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะฉีดเมื่อใด รวมถึงกรณีเด็กเล็ก ก็ต้องประเมินความปลอดภัยก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จะมีการฉีดให้กับครูที่ตกหล่นด้วย

ทั้งนี้ภายหลังจากฉีดวัคซีนนักเรียนได้ครอบคลุมแล้วก็จะสามารถเปิดภาคเรียนได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เบื้องต้นใช้รูปแบบสลับกันมาเรียน ระหว่าง onsite และ online ควบคู่กับมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อลดจำนวนความแออัด เนื่องจากวัคซีนเป็นเพียงการป้องกันความปลอดภัยให้กับนักเรียน ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ต.ค. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top