Mintel เผยผู้บริโภคทั่วโลกใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากการซื้อสินค้า

Mintel Consulting เผยผลการวิจัยล่าสุดจาก Mintel Sustainability Barometer ว่า ผู้บริโภคทั่วโลกเชื่อว่าบริษัทต่าง ๆ จะต้องแสดงความรับผิดชอบมากที่สุดสำหรับต้นตอของปัญหาความยั่งยืนในหลายภาคส่วน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคมองว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเองก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

ริชาร์ด โคป (Richard Cope), Senior Trends Consultant, Mintel Consulting เปิดเผยว่า จากการศึกษาของ International Energy Agency (IEA) เชื่อว่าการลดปริมาณมลพิษสะสมให้เหลือศูนย์มากกว่าครึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยบางคนอาจหวังว่าผู้บริโภคจะให้การยอมรับในเรื่องความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคมองว่าความรับผิดชอบเป็นของผู้ผลิตเสียมากกว่า ซึ่งมีเหตุผลประกอบมากมายว่าทำไมผู้บริโภคถึงโยนภาระเหล่านี้ให้กับบริษัทผู้ผลิต เช่น กลุ่มที่นิยมการประท้วงจะมีชุดความเชื่อที่ว่าบริษัทผู้ผลิตควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะปัญหาดังกล่าวอยู่นอกเหนือความสามารถที่จะแก้ปัญหาและรับมือในฝั่งของผู้บริโภคได้

ผู้บริโภคทั่วโลกเกือบครึ่ง (48%) เชื่อว่า ผู้ผลิตควรจะแสดงความรับผิดชอบในเรื่องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคหนึ่งในสี่ (25%) เชื่อว่า ความรับผิดชอบเป็นของผู้บริโภค และอีกหนึ่งในห้า (20%) เชื่อว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ในส่วนประเด็นเรื่องการลดมลพิษจากการขนส่งทางอากาศนั้น สองในห้า (41%) ของผู้บริโภคทั่วโลกเชื่อว่าเป็นความรับผิดชอบของบริษัทผู้ผลิตต่าง ๆ โดย 36% เชื่อว่าเป็นเรื่องของนโยบายรัฐ และอีก 12% มองว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้บริโภคเอง

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกว่าครึ่ง (54%) เชื่อว่า ตนเองยังมีเวลาเหลือพอที่จะช่วยรักษาโลกใบนี้ โดย 51% เชื่อว่าพฤติกรรมของตนเองสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมในทิศทางที่ดีขึ้น ทัศนคติเหล่านี้มีมากในกลุ่มผู้บริโภคชาวแคนาดา (65%) ชาวอิตาลี (64%) ชาวเยอรมันและชาวสเปน (59%) และชาวอังกฤษ (56%)

นอกจากนี้ ผู้บริโภคมักมองหาข้อมูลว่าการใช้จ่ายของตนเองจะก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงอย่างไรบ้าง เช่น การปลูกต้นไม้หนึ่งต้นต่อการซื้อหนึ่งครั้ง (48%) โดยผู้บริโภคยังคงมองหาฉลากที่แสดงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา (47%) ขณะที่ผู้บริโภคกว่าสองในห้า (42%) หาข้อมูลที่มีการใช้ระบบวัดผลกระทบที่เข้าใจได้ง่าย เช่น ปริมาณลิตรของน้ำที่ใช้หรือระยะทางที่ใช้ในการเดินทางเป็นกิโลเมตร ในขณะที่ 41% ของผู้บริโภคยังต้องการใบรับรองมาตรฐานที่เชื่อถือได้ เช่น B-Corp*

ริชาร์ด กล่าวต่อไปว่า นอกจากความต้องการในการรับรองจากองค์กรต่างๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคต้องการที่จะทราบว่าการซื้อสินค้าของตนเองจะก่อให้เกิดผลกระทบในด้านใดบ้าง เพื่อที่จะตอกย้ำความเชื่อและความคิดว่าการซื้อสินค้าของตนเองสามารถทำให้เกิดผลพวงที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง ความท้าทายที่เกิดขึ้นนี้คล้ายคลึงกับความท้าทายในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่มีฉลากโภชนาการ ค่อนข้างจะเป็นเหตุผลที่ดีในเรื่องความยั่งยืนในการนำ “traffic light system” มาประยุกต์ใช้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง เช่น บริษัทเนสท์เล่และซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ในสหราชอาณาจักรที่จะผนวกข้อความที่สวยงามและเข้าใจง่ายกับเป้าหมายที่ต้องการสื่อโดยได้รับการรับรองจากองค์กรที่สาม อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมว่ากรรมวิธีการผลิตต่างๆ นั้น สามารถประเมิน วัดผลและติดตามได้ที่ไหนและอย่างไร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 พ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top