อภ. จะเปิดจำหน่ายชุดตรวจ ATK ราคา 40 บ. ผ่านเว็บไซต์ เริ่ม 8 โมง 12 พ.ย.

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะเปิดจำหน่ายชุดตรวจโควิด-19 คุณภาพ ภายใต้ “โครงการ ATK คุณภาพเพื่อสังคมไทย” ในราคาชุดละ 40 บาท โดยเป็นการเปิดช่องทางการจำหน่ายเพิ่มเติมในระบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.gpoplanet.com อีกครั้งในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เปิดขายเวลา 08.00 น.

สำหรับการจัดหายาสำหรับรักษาโควิด-19 นั้น ขณะนี้รัฐบาลได้มีการพิจารณาในการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว ทั้งในส่วนของยาโมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 1.3 พันล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ อยู่ภายใต้งบประมาณดังกล่าวดังกล่าวด้วย โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมการแพทย์ จำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และนำมาใช้ได้ในช่วงธันวาคม 2564 หรือประมาณมกราคม 2565 กระทรวงสาธารณสุขยังเตรียมหารือกรณียาแพกซ์โลวิดร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ ครั้งที่ 3 ในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้

พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามจัดหายาที่มีคุณภาพสำหรับมารักษาผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งรองรับการเปิดประเทศให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้

“แม้จะมียารักษาโควิด-19 แต่สิ่งสำคัญที่สุด ประชาชนทุกคนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข Universal Prevention หรือ การป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล เป็นการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตลอดเวลา ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เพื่อลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อ และให้ปลอดภัยจากโควิด 19 เป็นดีที่สุด” น.ส.รัชดา กล่าว

ทั้งนี้ จากผลการทดสอบยาโมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด พบมีประสิทธิผลช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ผลดี ไม่ว่าจะเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์ไหนและยังไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงรุนแรง โดยยาโมลนูพิราเวียร์ สามารถช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลง 50% ขณะที่ยาแพกซ์โลวิด ช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลง 89%

ในส่วนของยาที่ใช้อยู่ปัจจุบัน สถานการณ์ยาคงเหลือ ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 พบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ คงเหลือ 21 ล้านเม็ด และยาเรมเดซิเวียร์ คงเหลือ 7 หมื่นกว่าเม็ด เพียงพอต่อความจำเป็นในการรักษาผู้ป่วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ย. 64)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top