ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ห่วงแบงก์ยังต้องตั้งสำรองสูงหลังยืดมาตรการช่วยลูกหนี้ฝ่าโควิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่ลากยาวข้ามมาในปี 2564 ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังรอเวลาฟื้นตัว กลับต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง

ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวซ้ำเติมปัญหาความเปราะบางทางการเงิน การขาดสภาพคล่อง และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้หลายกลุ่ม และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ขยายระยะเวลาให้ลูกหนี้รายย่อยสมัครรับความช่วยเหลือจนถึงเดือนมิ.ย. 2564 และให้ผู้ให้บริการทางการเงินเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทุกประเภทตามความเหมาะสมกับประเภทสินเชื่อและคำนึงถึงความเสี่ยงของลูกหนี้ หลังเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จุดจับตาสำคัญหลังจากนี้ ก็คือ การติดตามจำนวนลูกหนี้ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือรอบใหม่ที่อาจจะกลับมาเพิ่มขึ้นตามแรงกระทบต่อเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างไตรมาส 1/64 และไตรมาสที่ 2/64 และอาจทำให้สัดส่วนหนี้รายย่อยที่ได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน (ไม่รวม สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) มีโอกาสขยับขึ้นจากระดับ 23.5% ของสินเชื่อรายย่อยรวม ณ พ.ย. 2563 หรือคิดเป็นจำนวนบัญชีลูกหนี้ประมาณ 4 ล้านบัญชี วงเงินหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือรวม 1.15 ล้านล้านบาท

ข้อมูลความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินในส่วนนี้ นอกจากจะเป็นเครื่องชี้ระดับแรงกดดันที่มีต่อปัญหาคุณภาพหนี้ในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มกลับมานิ่งขึ้นอีกครั้ง (Post COVID-19) แล้ว ยังมีผลกระทบต่อเนื่องมายังแนวทางการตั้งสำรองเพื่อรองรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหากสัญญาณจากฝั่งลูกหนี้ยังมีความเปราะบาง ก็อาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ไม่ได้ลดลงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การขยายเวลาสำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยรอบนี้เป็นการดำเนินการในเบื้องต้น เนื่องจากแนวทางเกือบทั้งหมดเป็นการต่ออายุของมาตรการฯ รายย่อยระยะที่ 2 ซึ่งเน้นไปที่การเร่งกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อย และการช่วยลดภาระทางการเงิน

และแม้ว่าแนวทางดังกล่าวจะยังไม่ครอบคลุมไปถึงมาตรการเฉพาะสำหรับภาคธุรกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในขณะนี้ แต่คาดว่า สถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะยังคงติดตามดูแลและให้ความช่วยเหลือสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการในแต่ละภาคธุรกิจ/พื้นที่ของสถานประกอบการอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยในส่วนของภาคธุรกิจนั้น ต้องการความช่วยเหลือทั้งในเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องและการเร่งปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน และเพื่อช่วยต่อลมหายใจให้กับลูกหนี้ให้สามารถประคองกิจการ และรักษาระดับการจ้างงาน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะวนกลับมาเป็นปัญหาซ้ำเติมเศรษฐกิจในระยะถัดๆ ไป

อย่างไรก็ตาม แม้การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี คาดว่า การขยายเวลาการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินออกไป โดยเลื่อนเวลาการชำระเงินหนี้ ยืดอายุหนี้ให้มีระยะเวลายาวขึ้น รวมถึงการให้สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนและสภาพคล่องเพิ่มเติม น่าจะช่วยชะลอแรงกดดันจากการชำระคืนสินเชื่อลงบางส่วน ซึ่งจะมีผลทำให้ภาพรวมสินเชื่อในปีนี้อาจไม่ชะลอตัวลงมากแม้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น

ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศน่าจะสามารถประคองอัตราการเติบโตในกรอบประมาณ 3.0-4.5% ในปี 64 เทียบกับตัวเลขคาดการณ์สำหรับปี 63 ที่ 4.5% ขณะที่การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้การผ่อนคลายเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของ ธปท.ที่จะมีผลถึงสิ้นปี และการเร่งจัดการหนี้เสียในเชิงรุกก็น่าจะช่วยชะลอ NPLs ทำให้สัดส่วน NPLs ทยอยขยับขึ้นอยู่ที่ระดับประมาณ 3.53% ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 64 จากตัวเลขคาดการณ์ที่ 3.35% ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 63

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ม.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top