JAK ปิดเทรดช่วงเช้า 2.08 บาท สูงกว่าราคาไอพีโอ 43.45%

หุ้น JAK ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 2.08 บาท เพิ่มขึ้น 0.63 บาท (+43.45%) จากราคาขาย IPO 1.45 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 387.68 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.26 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 2.36 บาท และราคาลงต่ำสุด 1.99 บาท

นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บมจ.จักรไพศาล เอสเตท (JAK) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดผลการดำเนินงานในปี 64 จะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปี 63 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อกำลังซื้อประชาชนปรับตัวลดลง แต่ปีนี้มองว่ากำลังซื้อน่าจะกลับมาดีขึ้นได้

บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ แบ่งเป็น แนวราบใน จ.ชลบุรี มูลค่าราว 400 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมขายได้ในช่วงไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป และแนวราบในทำเลรังสิต จ.ปทุมธานี มูลค่าราว 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 3/64 และน่าจะไปรับรู้รายได้ในปี 65 เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า จากโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้มีความต้องการบ้านเดี่ยวมากขึ้น แม้ปัจจุบันจะมียอดปฎิเสธสินเชื่อในระบบค่อนข้างสูง แต่ลูกค้าของโครงการ JAK ถือว่ามีศักยภาพ

ปัจจุบันบริษัทฯยังมีโครงการจักรไพศาล 18 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, โครงการเฟิร์น เฟส 2 จ.ชลบุรี มูลค่า 413 ล้านบาท และโครงการไอดิลล์ จ.ชลบุรี มูล่า 587 ล้านบาท (โครงการร่วมทุนระหว่างบริษัท เอ็ม.ที.เอส.พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 40%) มูลค่า 587 ล้านบาท คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 64 ไปจนถึงปี 65

“ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีความต้องการบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังชะลอตัว และมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อว่าบ้านยังเป็นปัจจัย 4 ยังมีการเติบโตจากการสร้างครอบครัว ขณะที่เราก็มีข้อได้เปรียบจากที่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแถบ EEC รวมถึงเรายังมีที่ดินในมือที่พร้อมจะพัฒนา เมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นกว่านี้ เช่น ที่ดินซอยนวลจันทร์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ไร่ ก็มีแผนใช้ทำโครงการในอนาคต, ที่ดินย่านรังสิต ปทุมธานี ที่จะใช้พัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้ ก็อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง”

นายวีระพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้แล้ว บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายกิจการ จำนวน 60 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการชำระคืนหนี้จากสถาบันทางการเงิน ส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง โดยคาดว่าจะมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือต่ำกว่า 0.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.6-0.5 เท่า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ม.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top