โรจูคิสฯ เตรียมขาย IPO หลังนับหนึ่งไฟลิ่ง, ให้สิทธิ GRAMMY ถือ 9.9% ในอนาคต

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ของ KISS เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

ปัจจุบัน KISS มีทุนจดทะเบียนจำนวน 309 ล้านบาท แบ่งเป็น 618 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 270 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 152,641,540 หุ้น หรือ คิดเป็นไม่เกิน 25.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม จำนวนไม่เกิน 92,641,540 หุ้น

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า และช่องทางการขายตรงแก่ผู้บริโภค (Direct-to-Consumer) ขยายธุรกิจในต่างประเทศ ลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล และเพื่อชำระเงินคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น

KISS เป็นผู้ออกแบบ พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ ภายใต้ 5 แบรนด์สินค้า ได้แก่ Rojukiss (โรจูคิส), PhDerma (พีเอชเดอร์มา), Best Korea (เบสท์ โคเรีย) Wonder Herb (วันเดอร์ เฮิร์บ) และ Sis2Sis (ซิสทูซิส) โดยจำหน่ายผ่านช่องทางหลากหลายและครอบคลุม ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านค้าทั่วไป และช่องทาง Direct-to-Consumer (D2C) ผ่านแพลตฟอร์ม Marketplace และ E-Commerce ตลอดจนวางจำหน่ายในต่างประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา และเตรียมขยายสู่ตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม

นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ KISS กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายเป็นผู้นำด้านความงามและสุขภาพของเอเชีย โดยมีเป้าหมายที่รายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาทภายในปี 67 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปีนับจากปี 562 เปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัท ที่ 39% ต่อปีในระหว่างปี 60-62 ผ่านกลยุทธ์การขับเคลื่อนการคิดค้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน

โดยมีแผนต่อยอดจากความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า 5 แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ ที่จะเพิ่มความหลากหลายใน ผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ (Multi-category Brand Portfolio) อย่างครบวงจร รวมถึงออกแบรนด์สินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องการความสะดวกและคุ้มค่า (Health & Beauty Convenience) ภายใต้บรรจุภัณฑ์หลายรูปแบบ (Multi-format packaging) ขณะเดียวกันจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางขายทั้งหน้าร้าน (Offline) ออนไลน์ (Online) และ Direct-to-Consumer (D2C) เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ช่วยผลักดันให้บริษัทฯ เป็นผู้นำในประเทศไทย และช่วยขยายธุรกิจในต่างประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว และกัมพูชา

ล่าสุดบริษัทร่วมมือกับ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) รุกช่องทาง Media Commerce เพื่อร่วมมือกันพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านทางแพลตฟอร์มสื่อต่างๆ ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ โดยมีการลงนามในข้อตกลงกับบริษัทย่อยของ GRAMMY แล้ว คาดว่าจะเริ่มการจัดจำหน่ายภายในต้นปี 64 เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหม่ และภายในไตรมาส 3/64 คาดว่าจะจัดตั้งกิจการร่วมทุน (Joint Venture) ร่วมกับบริษัทย่อยของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่

นอกจากนี้ เพื่อเสริมสร้างพันธมิตรทางกลยุทธ์ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้ให้สิทธิในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทแก่ GRAMMY ที่สัดส่วนไม่เกิน 9.9% ที่ราคา IPO ในภายหลังการจัดตั้ง Joint Venture และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นของ GRAMMY

นางวรวรรณ กล่าวว่า บริษัทมีจุดแข็งด้านกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อันเป็นนวัตกรรมที่โดดเด่น แตกต่าง และระบบบริหารจัดการเทียบเท่าบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูงในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทยและในอาเซียน ภายใต้ทีมผู้บริหารคนไทยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพมาอย่างยาวนานในระดับนานาชาติ รวมถึงการเป็นบริษัท Asset Light จึงมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ อย่างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เอื้อต่อการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

ตั้งแต่ปี 60 ถึงไตรมาส 3/63 บริษัทได้พัฒนาสินค้าใหม่กว่า 97 ผลิตภัณฑ์ ที่ต่างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมี Rojukiss เป็นแบรนด์เซรั่มบำรุงผิวหน้าที่เป็นที่นิยมในตลาดมากว่า 13 ปี และในปี 63 ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplement) เป็นครั้งแรก โดยบริษัทพร้อมต่อยอดขยายไลน์ผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร (Multi-category Brand) เพื่อก้าวสู่แบรนด์ที่มียอดขายมูลค่าพันล้านบาทในอนาคต

นอกจากนี้ แบรนด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง Sis2Sis ที่มีนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการออกแบบบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางแบบซองพร้อมก้านแปรงในตัว มียอดขายผลิตภัณฑ์ลิปสติกอันดับ 1 (ในเชิงปริมาณ) และที่ปัดขนตา (Mascara) มียอดขายเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย (ทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณ) ในปี 62 ตามข้อมูลของ The Nielsen Company

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 60-62 บริษัทมีอัตราเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 37.9% ต่อปี และกำไรสุทธิขยายตัวเฉลี่ย 81.8% ต่อปี โดยปี 62 มียอดขายรวม 1,140.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 190.1 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 63 ทำยอดขายได้ 730.6 ล้านบาท จากการขยายพอร์ตสินค้าเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงามและการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวม 17 รายการ ขณะที่กำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แบรนด์ Rojukiss มีส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาส 3/63 เพิ่มขึ้นจาก 8.8% เป็น 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ ตามข้อมูลของ The Nielsen Company

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ม.ค. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top