KTC กำไรปี 63 หดรับโควิด พร้อมปรับแผนปีนี้สร้างความแข็งแกร่งพอร์ตลูกหนี้

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของเคทีซีในปี 63 ตามตามมาตรฐาน TFRS9 กำไรสุทธิเท่ากับ 5,332 ล้านบาท จากระดับกำไรสุทธิ 5,524 ล้านบาทในปี 62 โดยมีฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี ใกล้เคียงกับปี 62 สินเชื่อรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมลดต่ำต่อเนื่องอยู่ที่ 1.8% ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดวิกฤติโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 63 ได้ส่งผลกระทบรุนแรงกับระบบเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ต่อเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น รวมทั้งพอร์ตลูกหนี้ของเคทีซีสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภายใต้เกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศปรับลดเพดานการคิดอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ได้ส่งผลกระทบกับรายได้ของบริษัทเต็มไตรมาสสุดท้ายของปี

บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญกับการคัดกรองลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ได้ดี รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อีกทั้งปรับกระบวนการทำงานในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และบริหารต้นทุนทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงใช้มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงของลูกหนี้ให้เหมาะสม และการตัดหนี้สูญเพื่อให้พอร์ตลูกหนี้สะท้อนภาพความเป็นจริง โดยมีรายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

KTC ยังร่วมสนับสนุนมาตรการของกระทรวงการคลัง และ ธปท.อย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือด้านสินเชื่อสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งการปรับลดเพดานดอกเบี้ยและเพิ่มวงเงินให้กับลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว เลื่อนการชำระค่างวดหรือเงินต้น การลดค่างวด เป็นต้น โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค.63 มีกลุ่มลูกหนี้สมัครเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างกับเคทีซีมียอดหนี้คงเหลือ 813 ล้านบาท (10,812 บัญชี)

ขณะที่เมื่อวันที่ 12 ม.ค.63 ธปท.ได้ประกาศขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.64 ซึ่ง KTC จะได้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต่อไป

นายระเฑียร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนในปี 64 ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังส่งผลต่อเนื่อง และเกิดการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย บริษัทจะปรับแผนธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในพอร์ตลูกหนี้คุณภาพทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยมุ่งรักษาพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพดีและผูกพันกับเคทีซี ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งแบ่งเบาภาระเคียงข้างสมาชิกทุกกลุ่ม

โดยธุรกิจบัตรเครดิต จะร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เน้นส่งเสริมการตลาดที่เป็นออนไลน์มากขึ้นในทุกหมวดการใช้จ่ายซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อตอบรับกับความจำเป็นทุกความต้องการของสมาชิก ธุรกิจสินเชื่อบุคคล จะให้ความสำคัญกับการตอกย้ำทุกฟังก์ชันการใช้งานของบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ที่เพิ่มความสะดวกให้กับสมาชิกผู้ถือบัตรทั้งรูด โอน กด ผ่อนในบัตรเดียว ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม” เคทีซีจะมุ่งขยายตลาดในปีนี้เป็นหลัก โดยตั้งเป้าหมายเติบโตที่ 1,000 ล้านบาท เป็นฐานสนับสนุนการเติบโตในระยะต่อไป

สำหรับแผนโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบการชำระเงิน “Payment System” อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลและวิธีการดำเนินการ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะเป็นธุรกิจใหม่ที่มาเสริมธุรกิจหลัก และสร้างโอกาสให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว

ทั้งนี้ ผลประกอบการของ KTC ในปี 563 ภายใต้มาตรฐาน TFRS9 เปรียบเทียบกับปี 62 เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวมเท่ากับ 90,149 ล้านบาท เติบโต 4.3% , NPL ต่อเงินให้สินเชื่อรวมเท่ากับ 1.8% ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี แบ่งเป็นธุรกิจบัตรเครดิต 2,575,684 บัตร เพิ่มขึ้น 2.6% สินเชื่อลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 60,235 ล้านบาท

ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลดลง 7.7% หรือมีมูลค่ารวม 197,087 ล้านบาท NPL ต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้บัตรเครดิต 1.3% ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (รวมสินเชื่อธนวัฏและสินเชื่อเจ้าของกิจการ) มีจำนวนทั้งสิ้น 814,329 บัญชี ลดลง 8.3% จากการปิดบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 29,915 ล้านบาท NPL ต่อเงินให้สินเชื่อลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเท่ากับ 2.7%

ในปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 22,056 ล้านบาท ลดลง 2.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคลที่เพิ่ม 5.7% และ 2.8% ตามลำดับ เป็นอัตราเพิ่มที่ชะลอตัวลง เพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) ลดลง 11.0% จากรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange Fee รายได้ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจร้านค้า (Acquiring Business) ที่ลดลง

ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 15,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน 7,260 ล้านบาท ลดลง 6.0% จากรายการทางการค้าและกิจกรรมการตลาดที่ลดลง ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 6,605 ล้านบาท (หนี้สูญ 4,920 ล้านบาท และหนี้สงสัยจะสูญ 1,685 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 2.7% และต้นทุนทางการเงิน 1,534 ล้านบาทตามลำดับ โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิ (Operating Cost to Income Ratio) เท่ากับ 25.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 25.3% ในขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) เท่ากับ 32.9% ลดลงจาก 34.1% เนื่องจากลดกิจกรรมการตลาดด้านการจัดหาสมาชิกบัตรใหม่ และหันไปเน้นส่งเสริมการตลาดใช้จ่ายผ่านบัตรออนไลน์มากขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ม.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top