บลจ.วรรณ คาด AUM ปีนี้ 1.5 แสนลบ.ใกล้เคียงปีก่อน ชูตลาดหุ้นตปท.เด่นกว่าหุ้นไทย

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า บริษัทคาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้จะอยู่ที่ราว 150,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 63 ที่ 154,746 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนรวม 61,000 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 40,494 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 53,251 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทจะเน้นการพัฒนานวัตกรรมการลงทุนที่มีความหลายหลายและทันสมัยมากขึ้น โดยบลจ.วรรณ มีมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในทิศทางที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 63 ที่ผ่านมา จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อประคองเศรษฐกิจที่หดตัวลงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ การที่นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรคเดโมแครตครองเสียงส่วนมากในสภาคองเกรส ก็จะช่วยผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามตลาดอาจจะมีความกังวลอีกครั้งเกี่ยวกับการเก็บภาษีที่จะเข้ามากดดันตลาดหุ้นได้

“เป้าหมายของ บลจ.วรรณ ในปีนี้คือการยกระดับแผนการลงทุนต่างประเทศโดยให้ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในตลาดต่างประเทศของบริษัทเป็นผู้จัดการกองทุนมากขึ้น เพราะกองทุนหลักแต่ละแห่งจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะต้องผสมผสานความยืดหยุ่นนี้เข้าด้วยกัน โดยขณะนี้เราอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อที่จะนำเสนอกองทุนต่างประเทศเพิ่มเติมในลักษณะลงทุน Fund of Funds โดยลงทุนมากกว่า 80% และ 20% คัดเลือกหุ้นโดยตรงจากผู้จัดการกองทุนซึ่งบริษัทมองว่าอาจจะเป็นการลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้บริษัทกำลังพิจารณาเสนอกองทุนทางเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย”นายพจน์ กล่าว

นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยมองว่ามีมองว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ แต่คงไม่มากนัก โดยมองการเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,600 จุด

ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 สามารถกระจายไปได้ทั่วถึง และไม่มีสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามากระทบดัชนีมีโอกาสที่จะขึ้นไปที่ระดับ 1,600 จุด แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังเพิ่มมากขึ้น วัคซีนกระจายไม่ทั่วถึง และยังมีแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมือง ดัชนีมีโอกาสที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,400 จุด

สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 3-5% เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0.50% โดยจะมีมาตรการทางการเงินอื่น ๆ จากภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ในส่วนของค่าเงินบาทคาดว่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับแรงกดดันจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

นายพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ให้ลงทุนในตลาดหุ้นโลกอัตราส่วน 50% ในตลาดหุ้นไทย 10% ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก ให้ลงทุนในตลาดหุ้นโลกอัตราส่วน 15% ในตลาดหุ้นไทย 5% ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ม.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top