TMBAM Eastspring วางเป้าดัน AUM แตะ 1 ล้านลบ.ภายในปี 68 ขึ้นเป็นผู้นำกองทุน FIF

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย (TMBAM Eastspring) และ บลจ.ธนชาต (Thanachart Fund Eastspring) ตั้งเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ (AUM) เติบโต 1 ล้านล้านบาทภายในปี 68 โดยในปี 64 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาท จากปีก่อนมี 4.26 แสนล้านบาท

บริษัทจะเน้นการนำเสนอกองทุนต่างประเทศ (FIF) เพิ่มอีกประมาณ 5 หมื่นบ้านบาท จาก 1.15 แสนล้านบาท เป็น 1.6 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนในประเทศ ทั้งกองทุนตราสารหนี้ 3-4 หมื่นล้านบาท จากที่มี 2 แสนล้านบาทและ กองทุนที่ลงทุนหุ้นไทย 1 หมื่นล้านบาท จากที่มีมูลค่า 1 แสนล้านบาท

บริษัทจะสร้างการรับรู้และจดจำสำหรับการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก ด้วยการน้ำนวัตกรรมมาใช้ตอบโจทย์การลงทุน เน้นกลยุทธ์การสร้างโอกาสลงทุนผ่าน FIF เมื่อผสมผสานกับอีสท์อีสปริง อินเวสท์เมนทส์ที่มีมุมมองและความชำนาญระดับโลกที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ผู้ลงทุนชาวไทยนึถึงเมื่อมองหาโอกาสการลงทุนไปต่างประเทศ

นายอดิศร กล่าวว่า บริษัทมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย ประเมินดัชนี SET ในปีนี้ในกรอบ 1,550-1,600 จุด ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และหากมีวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เข้ามาก็มองว่าน่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่านี้ที่จะส่งผลดีต่อกลุ่มท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนพันธบัตรของไทยต่ำ และหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนก็ต่ำ ดังนั้นจึงควรหันมาลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

ขณะที่ตลาดเอเชียมองงการเติบโตก็ยังดี ได้แก่ จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โดยเฉพาะจีนและอินเดียที่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดีหลังเกิดโควิด-19 ทั้งนี้ คาดเศรษฐกิจเอเชียจะกลับมาเติบโตมากกว่าในยุโรปและสหรัฐฯ จึงควรหาโอกาสการลงทุนให้กว้างขึ้นเพื่อความหลากหลายมากกว่าเดิม

“เราตั้งเป้าเป็นผู้นำกองทุน FIF…ในช่วงนี้ ตลาดต่างประเทศมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งทุก บลจ.ก็พยายามมีกองทุนลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ความแตกต่างที่บลจ.ทหารไทย ที่จะแนะนำให้นักลงทุนมองการลงทุนเสมือนเป็น Flobal citizen Global Portfolio Global Opportunity โดยเราจะให้มองภาพให้รอบเพื่อมีข้อมูลที่จะนำเสนอต่อเนื่อง เพื่อสร้าง Global Portfolio”

นายอดิศร กล่าว

ส่วนการควบรวมกิจการระหว่าง บลจ.ทหารไทย และ บลจ.ธนชาต คาดจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ค.64 ที่จะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัท โดยเมื่อรวมกันแล้วจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดปรับมาเป็น 8% จาก บลจ.ทหารไทย ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 4.4% และ บลจ.ธนชาต 3.6% โดย บลจ.ทหารไทยมีจุดเด่นที่มีกองทุน FIF ในตลาดเป็นอันดับ 1 หรือมีส่วนแบ่ง 23% โดยยอดซื้อขายกองทุน FIF ในปี 63 เติบโต 43% ของมูลค่ารวม 115,155 ล้านลบาท ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตในช่วงครึ่งหลังของปี 63

ขณะที่ในปีก่อนมีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งย้ายไปอยู่เงินฝาก โดยกองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.ทหารไทย มีการขายออก 2 แสนกว่าล้านบาท จาก 4 กองทุน ซึ่งปัจจุบันได้คืนเงินให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไปแล้ว 80% สูงกว่า NAV ที่ปิดกองไป ส่วนอีก 10-15% กำลังทยอยจ่ายคืนตามอายุตราสารระยะยาวที่รอจังหวะปิดเพื่อให้ได้ราคาดี โดยที่ผ่านมาตราสารที่ถืออยู่ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้

แต่ในเดือน มิ.ย.63 บลจ.ทหารไทย เริ่มเปิดกองทุน FIF ใหม่ และลูกค้าเปลี่ยนจากการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไปลงทุนหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 30-40% ทั้งนี้บริษัทยังได้รับการตอบรับดีมาก และกลางเดือน มี.ค.64 บริษัทเตรียมออกกองทุน FIF จำนวน 4 กองทุนตามธีมการลงทุน คือ Fintech, Automation, Genomic และ Internet โดยเป็นบริหารของกองทุน ARK INNOVATION Series

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.พ. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top