AP ตั้งเป้ารายได้ปี 64 ทำนิวไฮ 4.31 หมื่นลบ. เน้นโอนโครงการใหม่-ระบายสต็อก

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ (AP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 64 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ที่ 4.31 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่ทำรายได้ที่ 2.98 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในปี 64 จะยังเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาต่อเนื่องจากปีก่อนก็ตาม แต่บริษัทยังคงเดินหน้าในการสร้างรายได้ทั้งการโอนโครงการที่สร้างเสร็จใหม่ในปีนี้ 2 โครงการคือ Life ASOKE hype และ Life LADPROA VALLEY มียอดขายแล้ว 70% ซึ่งจะเริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/64

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการขายโครงการแนวราบที่จะเป็นปัจจัยในการผลักดันรายได้ในปี 64 ให้เติบโตขึ้นโดยที่รายได้ที่มาจาการขายโครงการแนวราบในปีนี้ตั้งไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ทั้งโครงการแนวราบที่เปิดใหม่ และโครงการแนวราบที่จะโอนต่อเนื่องมาในปี 64 โดยที่แผนการเปิดโครงการใหม่ไนปีนี้บริษัทวางแผนเปิดโครงการไว้ที่ 34 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4.3 หมื่นล้านบาท

แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่ารวม 2.88 หมื่นล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 1.65 หมื่นล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 1.06 หมื่นล้านบาท และแนวราบในต่างจังหวัดในพระนครศรีอยุธยาและเชียงราย มูลค่า 2.3 พันล้านบาท โดยที่จะทยอยเปิดในไตรมาส 1/64 และไตรมาส 2/64

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมในปี 64 วางแผนเปิด 4 โครงการ มูลค่า 1.42 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น 2 โครงการ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท โดยทำเลที่จะเปิดคอนโดมิเนียมในปี 64 จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อเป็นหลักภายใต้แบรนด์ Life ในทำเลราชปรารภ สาทร และลาดพร้าว

แต่อย่างไรก็ตามการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่จะเปิดในช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด เนื่องจากบริษัทยังรอดูสถานการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมว่าจะมีทิศทางอย่างไร ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมองว่าตลาดคอนโดมิเนียมยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน และลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมในช่วงนี้จะเน้นโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่เป็นหลัก และทางบริษัทมีข้อเสนอและโปรโมชั่นที่ดีให้กับลูกค้า ทำให้การซื้อคอนโดมิเนียมเปิดใหม่อาจจะยังไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าในตลาดช่วงนี้มากนัก อีกทั้งบริษัทยังติดคามปริมาณดีมานด์และซัพพลายในตลาดคอนโดมิเนียมว่าจะเป็นอย่างไรในช่วงครึ่งปีแรกว่าจะมีทิศทางอย่างไร

“คอนโดก่อนหน้านี้ดีดตัวไปมาก แต่ตอนนี้ก็เหมือนชดใช้หนี้ ตลาดคอนโดก็มีขึ้นมีลง แต่ตอนนี้คอนโดก็ยังไม่ค่อยดีนัก เราจะเปิดคอนโดใหม่ก็ต้องดู sentiment เป็นสำคัญ ตอนนี้คนซื้อก็คงเลือกซื้อคอนโดที่ good yield แต่ภาพรวมก็มองว่าครึ่งปีแรกนี้ตลาดคอนโดยังเหนื่อยอยู่ สิ่งที่เราจะเดินหน้าทำก็ระบายสต็อกและรอดูสถานการณ์ไปก่อน”

นายอนุพงษ์ กล่าว

นอกจากนี้ในปี 64 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้ในปี 64 เข้ามาไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมด 3.79 หมี่นล้านบาท โดยที่จะมีการโอนโครงการแนวราบเข้ามาทั้งหมด 1.24 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ส่วนคอนโดมิเนียมที่ Backlog อยู่ที่ 2.54 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 64-66 และยังคงระบายสต็อกที่มีมูลค่ากว่า 7.88 หมื่นล้านบาท จาก 113 โครงการอย่างต่อเนื่อง โดยที่บริษัทไม่มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อมากนัก เพราะลูกค้าที่ซื่อโครงการของบริษัทส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง และโอนเป็นเงินสดในสัดส่วนที่สูงกว่า40% และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการกับบริษัทยังทรงตัวที่ 25-28%

ด้านยอดขายในปี 64 บริษัทตั้งเป้าที่ 3.55 หมื่นล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีถึงล่าสุดวันที่ 15 ก.พ. 64 บริษัททำยอดขายไปได้แล้ว 4.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่มียอดขายจากโครงการแนวราบเป็นตัวผลักดันหลักที่ทำได้ 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนคอนโดมิเนียมทำยอดขายไปได้แล้ว 400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมองว่ายอดขายที่ทำได้ล่าสุดเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ยอดขายในปีนี้ทำได้ตามเป้าได้

ขณะที่งบซื้อที่ดินในปี 64 บริษัทตั้งไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 4 พันล้านบาท โดยการซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทมองว่าการแข่งขันในการซื้อที่ดินไม่สูงมากหลังจากโควิด-19 เข้ามากระทบ ทำให้ราคาที่ดินอยู่ไม่ได้เมปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ส่วนหนึ่งบริษัทมองว่าผู่ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดยังคงระมัดระวังการลงทุนและการใช้เงิน ทำให้ในปีนี้บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนซื้อที่ดินเข้ามารองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.พ. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top