STARK ตั้งเป้ารายได้ปี 64 โต 15-20% ทำนิวไฮ อาศัยฐานผลิตเวียดนามบุกตลาดสหรัฐ

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์คคอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ายังสามารถรักษาการเต้บโตของผลงานในปี 64 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้กว่า 1.8 หมื่นล้านบาท หรือมาอยู่ที่ 1.9-2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมายก็จะเป็นรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยรายได้หลักของบริษัทในรปีนี้ยังมาจากธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้า

ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 9 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องในปีนี้เกือบทั้งหมด และบริษัทจะยังคงเดินหน้าประมูลงานโครงการใหม่เพื่อเพิ่ม Backlog มารองรับรายได้ในอนาคต

ขณะที่กลยุทธ์สำคัญในการดำเนินงานปีนี้จะเน้นการขายสินค้าที่มีความสามารถทำกำไรสูง เช่น กลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลาง-ระดับสูงพิเศษที่มีการเติบโตสูง เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของรัฐและเอกชนพร้อมกับควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น

นอกจากนี้ การเข้าลงทุนในเวียดนามจากการเข้าซื้อกิจการเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีโอกาสขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ เพราะมองว่ายังมีความต้องการใช้สายไฟและเคเบิ้ลคุณภาพสูงเป็นจำนวนมาก และเป็นโอกาสของบริษัทที่จะหาลูกค้ารายใหม่ๆ ที่หันมาเลือกสั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่ใช้ฐานการผลิตในเวียดนามทดแทนผู้ประกอบการรายใหญ่ในจีนที่ถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษี

พร้อมกันนั้นและบริษัทยังมองหาลูกค้าในภูมิภาคอื่นๆเพิ่มเติม โดยวางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศในปี 64 จากสิ้นปีก่อนที่ส่งออกไป 40 ประเทศ ซึ่งทำให้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 8%

นายประกรณ์ กล่าวว่า บริษัทจะยังคงเดินหน้าใช้กำลังการผลิตในประเทศเวียดนามให้มากขึ้น ซึ่งวางแผนผลักดันอัตรากำลังการผลิตในเวียดนามเพิ่มเป็น 45-50% และจะเพิ่มเป็น 70-75% ภายใน 3-4 ปี เพื่อทำให้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มเป็น 13-14% จากปีนี้ที่ 10-12% ส่วนโรงงานในประเทศไทย 3 แห่ง ได้แก่ บางพลี ระยอง และอ้อมน้อยปัจจุบันได้ใช้กำลังการผลิตเต็มแล้ว 100%

ขณะที่ในด้านการบริหารด้านการเงินของบริษัทวางแผนลดอัตราการกู้ยืม (Net Dept/EBITDA) ลงให้เหลือ 2.5 เท่าภายในปี 66 จากปัจจุบันที่ 3.5 เท่า โดยยังไม่มีแผนการลงทุนใหม่ๆ หลังจากเข้าซื้อธุรกิจในเวียดนามตั้งแต่ปี 58 ซึ่งงบลงทุนที่บริษัทจะใช้เป็นเพียงการปรับปรุงเครื่องจักรราว 300 ล้านบาทเท่านั้น เพราะในปัจจุบันยังมีกำลังการผลิตที่เหลืออยู่มาก

“บริษัทยังไม่มีแผนการทำธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบัน เพราะบริษัทไม่ต้องการแข่งขันกับคู่ค้าของบริษัท แต่จะเป็นซัพพลายเออร์ให้กับคู่ค้าเป็นหลัก”นายประกรณ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top