RBF ปักธงบุก Plant base-Keto พร้อมรุกสารสกัด-ปลูกกัญชง หวังดันรายได้ปีนี้โต 10-12%

นายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายยอดขายในปี 64 เติบโตอย่างต่ำ 10-12% ยังไม่รวมโครงการใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะมีเพิ่มเติม

โดยกลุ่มสินค้าที่ยังเติบโตได้ดียังเป็นกลุ่มวัตถุแต่งรสและกลิ่น กลุ่มเกล็ดขนมปัง แป้งและซอส ถึงแม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในวงกว้าง แต่บริษัทประเมินว่าจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นและมีแนวโน้มการส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบของบริษัทฯ ในปีนี้ไว้ได้และมีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มสินค้าที่ยังเติบโตได้ดีเป็นกลุ่มวัตถุแต่งรสและกลิ่น กลุ่มเกล็ดขนมปัง แป้งและซอส ถึงแม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในวงกว้าง แต่บริษัทประเมินว่าจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นและมีแนวโน้มการส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบในปีนี้ไว้ได้และมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น

พ.ท.พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ กรรมการ RBF กล่าวถึงแผนการดำเนินงานปี 64 ว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจับเทรนด์ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง 3 ประเภท คือ

1. กลุ่ม Plant base ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และลักษณะและรสสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์จริง กลุ่มลูกค้าคือโรงงานอาหารแช่แข็ง และโรงงานอาหารทั่วไป

2. กลุ่ม Low carb/Gluten free และ Keto ซึ่งทาง RBF เริ่มเสนอลูกค้าไปบ้างแล้วทั้งในประเทศและส่งออก คาดว่าจะเริ่มส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ในไตรมาส 3/64 และ

3. กลุ่มสารปรุงแต่ง (flavor) ที่เป็นสมุนไพร รวมถึงสารสกัดต่าง ๆ เช่น กระชายดำ ขมิ้น โดยจะมีการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงการสกัดกัญชง ซึ่งทาง RBF ในฐานะโรงสกัดกลางน้ำได้ยื่นเอกสารขออนุญาตไปที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว เมื่อผ่านก็มีแผนจะขออนุญาตปลูกกัญชงบางส่วนต่อไป

นายสุรนาถ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของโรงงานในเวียดนามว่า ปัจจุบันเริ่มดำเนินการผลิตแล้ว 1 กะตั้งแต่เดือน ต.ค.63 อยู่ที่ 8 ชั่วโมง คาดว่ากะ 2 จะเริ่มดำเนินการได้ 16 ชั่วโมงตั้งแต่ไตรมาส 2/64 ส่วนที่อินโดนีเซียเริ่มกะ 2 ในเดือน ต.ค.63 ปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 16 ชั่วโมง คาดว่าจะเริ่มกะที่ 3 ได้ในไตรมาส 2-3/64 ในส่วนของโรงงานเฟส 2 ที่เมืองสุราบายาของอินโดนีเซีย ยังอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายคาดว่าจะมีข้อสรุปหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย

สำหรับผลการดำเนินงานปี 63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในปี 63 ทำให้ธุรกิจโรงแรมทั้ง 2 แห่ง คือ โรงแรม โนโวเทล ชุมพร บีช รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟ และโรงแรม ไอบิส สไตล์ เชียงใหม่ ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทคาดว่าภายในอีก 2-3 ปีคงยังไม่ฟื้นตัวกลับมาได้ จึงตัดสินใจขายธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง เพื่อนำเงินไปลงทุนโครงการอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการรอผู้ถือหุ้นอนุมัติ

ในปี 63 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 517.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163.77 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46.32% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีกำไรขั้นต้น 1,283.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192.98 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.69% ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 3,172.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 307.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.73%

ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทยังมี 2 ชนิด คือ 1.สารเคลือบผิวที่สามารถบริโภคได้ (Food Coating) และ2.กลิ่นปรุงแต่งและสีผสมอาหาร (Flavoring & Food Coloring) ลูกค้ากลุ่มหลักยังคงเป็นลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตอาหาร ส่วนผลิตภัณฑ์สารเคลือบ (Coating) ที่ได้มาเพิ่มจากอินโดนีเซียและเวียดนาม คือในกลุ่มของสารแช่ซีฟู้ด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มี.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top