สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อฉีดวัคซีนซิโนแวกแล้วภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้แจงถึงกรณีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลว่าฉีดวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวกครบ 2 เข็มแล้วตรวจด้วยชุดตรวจเร็ว (Rapid Test) ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้นว่า การตรวจด้วยชุดตรวจเร็วบางชนิด เป็นการตรวจปลอกหุ้มสารพันธุกรรม (Neucleocapsid protein) จะไม่สามารถตรวจพบได้ การตรวจภูมิคุ้มกันต้องใช้วิธีตรวจที่เฉพาะต่อ spike protein วิธีหนึ่งที่เป็นมาตรฐาน คือ PRNT (Plaque Reduction Neutralization Test) โดยการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโคโรนาไวรัส

“ต้องตรวจในห้องปฏิบัติการที่มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 โดยนำน้ำเหลือง (serum) ของผู้ที่ได้รับวัคซีนมาใส่ในจานเพาะเชื้อที่มีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ต่าง ๆ และเจือจางเลือดลงครั้งละเท่าตัว จนถึงจุดที่สามารถทำลายเชื้อไวรัสลงครึ่งหนึ่ง จะเป็นจุดที่บ่งบอกระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น” อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุ

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้ตรวจภูมิคุ้มกันต่อ spike protein ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประมาณ 15 วันหลังฉีดครบ 2 เข็ม ก็พบว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้น และผลตรวจของตนหลังฉีดซิโนแวก 2 เข็ม 14 วัน พบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสามารถทำลายไวรัสสายพันธุ์ที่พบแรกๆ ในประเทศตั้งแต่เริ่มมีการระบาด มีระดับสูงถึง 115 โดยสายพันธุ์อู่ฮั่น ระดับภูมิคุ้มกันสูง 85 และสายพันธุ์ที่ระบาดช่วงเดือนม.ค.64 สูง 90

ส่วนระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ G ที่กำลังระบาดทั่วโลกลดลงอยู่ที่ 40-50 ซึ่งยังสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ และระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บริษัทซิโนแวกได้วิจัยเพื่อยื่นขอทะเบียนที่หลังฉีด 2 เข็ม มีระดับภูมิคุ้มกันเฉลี่ยอยู่ที่ 24 รวมทั้งงานวิจัยของประเทศชิลีพบว่า หลังฉีดวัคซีนซิโนแวก 1 เดือน ภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยหลังฉีด 14 วันระดับภูมิคุ้มกันสูง 47.8%, หลังฉีด 28 วัน และหลังฉีด 42 วัน สูง 95.6% เท่ากัน โดยมีระดับภูมิคุ้มกันสูงเป็นพัน

“เป็นข้อยืนยันว่า วัคซีนซิโนแวกได้ผลในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค และอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยระดับภูมิคุ้มกันโรคในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในคนไทย” นพ.ศุภกิจกล่าว

นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกับเครือข่าย เฝ้าระวัง ติดตามการกลายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล แคลิฟอร์เนีย ไนจีเรีย และล่าสุดคือสายพันธุ์อินเดีย B1.617 ซึ่งมีการกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่ง คือ E484 และ L452 ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการกลายพันธุ์เกี่ยวข้องการการระบาดที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียเพิ่มขึ้นมากหรือไม่ ทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือไม่ และวัคซีนสามารถป้องกันได้หรือไม่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top