น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.24 รับความหวังดีมานด์ฟื้นตัว-จับตาสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่หลายประเทศมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งผลสำรวจของนักวิเคราะห์ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐมีแนวโน้มลดลงกว่า 4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 1.24 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 72.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2561
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 73.99 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2562

ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน หลังจากสหรัฐและยุโรปเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้มีการสัญจรทางอากาศและทางรถยนต์เพิ่มขึ้น และช่วยให้ความต้องการใช้น้ำมันฟื้นตัวขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากการที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวทางการทูตว่า การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ยังคงไม่มีความคืบหน้า โดยข่าวดังกล่าวช่วยคลายความวิตกของนักลงทุนที่กังวลว่า การบรรลุข้อตกลงระหว่างสหรัฐและอิหร่านจะทำให้สหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน และส่งผลให้อิหร่านสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง

นายรัสเซลล์ ฮาร์ดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Vitol คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในช่วง 70 – 80 ดอลลลาร์ในปีนี้ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรหรือโอเปกพลัส จะยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงด้านการผลิต และเชื่อว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในกรอบดังกล่าวแม้ว่าอิหร่านจะกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง หากสหรัฐกลับเข้าร่วมในข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับอิหร่าน

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 4.2 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 มิ.ย.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top