ASW ตั้งบ.ศึกษา-ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล, ผนึก Bitkub นำเงินดิจิทัลซื้อขายบ้าน-คอนโดฯ

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอสเซทไวส์ (ASW) เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่4/64 ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ ชื่อบริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ซึ่งจะจัดตั้งภายในเดือนก.ค.64 มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 ซึ่ง ASW ถือหุ้นร้อยละ 99.97 และแหล่งเงินทุนที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนบริษัท

สำหรับบริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล (Digital Asset) และเทคโนโลยี โดยมุ่งความสนใจไปที่เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และจะแต่งตั้ง บริษัท ฟิวเจอร์คอมแพทเทเร่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญการในการจัดการสินทรัพย์ดิจิตอล

และทางบริษัทยังเดินหน้าเติบโตด้วยกลยุทธ์ “Best Choice” มีการร่วมมือกับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Bitkub) เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของบ้านและคอนโดมิเนียมทุกโครงการในเครือ ผ่านการแลกสกุลเงินดิจิตอลหรือคริปโทเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) เป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในเครือ ASW โดยลูกค้าสามารถแลกเหรียญคริปโทฯ ผ่าน Wallet ของ Bitkub เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดธุรกิจและปรับตัวสู่นวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ความร่วมมือกันในครั้งนี้เกิดจากการเล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบัน Bitkub.com เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในการแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอล มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดกว่า 1,200 ล้านบาท/วัน และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ควบคู่กับ ASW ที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และเป็นผู้นำด้านแคมปัสคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ (Kave) ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่เป็นกลุ่มนักศึกษาที่คุ้นเคยกับการใช้สกุลเงินคริปโทฯ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีลูกค้า Kave TU ที่ชำระเงินผ่านช่องทางดังกล่าวเข้ามาบ้างแล้ว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASW กล่าวว่า บริษัทยังคงมั่นใจรายได้ปีนี้จะแตะ 5 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนตามที่ตั้งไว้ หลังมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 4,700 ล้านบาท

โดยในครึ่งแรกของปีมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จคือโครงการ เคฟ ทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลัง มี 2 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้แก่ โครงการเคฟ ทียู (Kave TU) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และโครงการโมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50) มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จนถึงปี 65

และทางบริษัท และยังเตรียมเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง มูลค่าโครงการรวม 9,700 ล้านบาท เช่น โครงการแอทโมซ บางนา (Atmoz Bangna) มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท ในไตรมาส 2/64 และโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วยโครงการเคฟ เอวา (Kave Ava) มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท, โครงการโมดิซ ไรห์ม คลาวด์ (Modiz Rhyme Cloud) มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท, โครงการโมดิซ ศรีราชา (Modiz Sriracha) มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท และโครงการบ้านภูริปุรี ลาดพร้าว 41 โฮมออฟฟิศ (Baan Puri Puri Ladproa 41 – Home Office) มูลค่าโครงการ 87 ล้านบาท

ทางบริษัทคาดว่าสถานการณ์ช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากมาตรการกระจายวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะทยอยกลับมาในไตรมาส 3/64 และในไตรมาส 4/64 ที่สามารเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ก็จะทำให้มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้าต่างชาติที่กลับเข้ามาด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 64)

Tags: , , , , , , , , , , , , ,
Back to Top