ครม.เห็นชอบกรอบงบรายจ่ายปีงบ’66 วงเงิน 3.185 ล้านลบ.ขาดดุล 6.59 แสนลบ.

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.74%

ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ดังต่อไปนี้

1.รายจ่ายประจำ จำนวน 2,390,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2565 จำนวน 16,990.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.72% และคิดเป็นสัดส่วน 75.04% ของวงเงินงบประมาณ

2.รายจ่ายลงทุน จำนวน 695,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2565 จำนวน 83,066.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.57 % คิดเป็นสัดส่วน 21.82% ของวงเงินงบประมาณ

3.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน 100,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ 2565 คิดเป็นสัดส่วน 3.14%ของวงเงินงบประมาณ

สำหรับรายได้สุทธิจำนวน 2,490,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 65 จำนวน 90,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.75% โดยเป็นงบประมาณขาดดุล 695,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 2565 จำนวน 5,000 ล้านบาท หรือ ลดลง 0.71% และคิดเป็นสัดส่วน 3.89% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

นายธนกร กล่าวว่า วงเงินงบประมาณรายจ่าย 3,185,000 ล้านบาท ดังกล่าว เท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566-2569) ที่ ครม.ได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.64 สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุนและงบประมาณรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วนอยู่ภายในกรอบที่กำหนด ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

ครม.ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ดังนี้

1.ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย ในการติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและจัดทำข้อเสนอแนะ มาตรการที่ต้องดำเนินการการบริหารความเสี่ยง ทั้งระยะสั้นและระยะปานกลางสำหรับในแต่ละกรณีเป็นการล่วงหน้า

2.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งติดตามการขับเคลื่อนมาตรการของรัฐบาลในประเด็นต่อไปนี้ เช่น การเร่งสร้างรายได้ใหม่ตามมาตรการของรัฐบาล เช่น มาตรการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง เข้าสู่ประเทศไทย (LTR) มาตรการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC และอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านเทคโนโลยีและธุรกิจเกิดใหม่ (Startup) การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วย BCG Mode การติดตามการจัดเก็บรายได้ของรัฐ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ

ทั้งนี้ หน่วยรับงบประมาณต้องมีการใช้จ่ายให้เป็นไปตาม แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานและ ต้นทุนโลจิสติกส์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ การดำเนินมาตรการเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้านแรงงาน รวมทั้งการควบคุมอัตรา แลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ม.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top