ดาวโจนส์ปิดบวก 38.30 จุด ขานรับเงินเฟ้อสอดคล้องคาดการณ์

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (12 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากมุมมองที่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดจะไม่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถูกกดดันให้เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ของธนาคารรายใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,290.32 จุด เพิ่มขึ้น 38.30 จุด หรือ +0.11%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,726.35 จุด เพิ่มขึ้น 13.28 จุด หรือ +0.28% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,188.39 จุด เพิ่มขึ้น 34.94 จุด หรือ +0.23%

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2525 อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่

วิลล์ คอมเพอร์นอลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัท FHN Financial กล่าวว่า “ตลาดขานรับดัชนี CPI เดือนธ.ค.ของสหรัฐที่ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ และเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวจะไม่ทำให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วไปกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฟดส่งสัญญาณว่าจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนมี.ค. และจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้”

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี โดยพันธบัตรประเภทดังกล่าวใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวขึ้น 0.95% โดยหุ้นยูเอส สตีล คอร์ป ทะยานขึ้น 5.35%หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 5.05% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ ปรับตัวขึ้น 1.15% หุ้นนูคอร์ คอร์ปอเรชัน พุ่งขึ้น 3.5%

ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.4% โดยหุ้นไมโครซอฟท์ บวก 1.04% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.21% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 0.26% หุ้น NVIDIA เพิ่มขึ้น 0.65% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดีดตัวขึ้น 0.97%

หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 3.93% หลังมีรายงานว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาที่ผลิตในจีนอยู่ที่ 70,847 คันในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขรายเดือนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เทสลาเริ่มการผลิตที่โรงงานในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2562

ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลง 0.26% นำโดยหุ้นไบโอเจน ดิ่งลง 6.7% หุ้น Eli Lilly ร่วงลง 2.44% หลังจาก Medicare ซึ่งเป็นโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางสหรัฐระบุว่า ทางโครงการจะรวมยา Aduhelm ซึ่งเป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ที่ผลิตโดยไบโอเจนเข้าไว้ในโครงการ แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ป่วยจะต้องสมัครเข้าร่วมการทดลองทางคลินิก ซึ่งจะส่งผลให้การเข้าถึงการรักษาโรคดังกล่าวเป็นไปอย่างจำกัด โดยการดำเนินการดังกล่าวของ Medicare อาจส่งผลกระทบต่อบริษัท Eli Lilly ซึ่งกำลังพัฒนายาชนิดเดียวกัน

หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง หลังจากนักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกาคาดการณ์ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจสายการบิน ทั้งนี้ หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ลดลง 0.77% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดิ่งลง 2.74% หุ้นเดลตา แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.5% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวยส์ ปรับตัวลง 1.74%

นักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ของธนาคารรายใหญ่ในวันศุกร์นี้ ซึ่งรวมถึง เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ม.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top