TTB ตั้งเป้าปี 65 สินเชื่อ-เงินฝากฟื้นโตตามเศรษฐกิจหลังปัจจัยโควิดคลี่คลาย

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้ากลับมาเติบโตทั้งด้านสินเชื่อและเงินฝากในปี 65 แต่การดำเนินงานและแผนกลยุทธ์ต่างๆ ในการสร้างการเติบโตจะยังเดินหน้าไปอย่างรอบคอบ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งหลังการรวมธนาคารและระบบต่างๆเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แล้ว ในปีนี้ธนาคารก็พร้อมที่จะเปิดตัวและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆที่ได้นำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยพัฒนาให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการที่ครบวงจรได้ง่ายและสะดวกขึ้น เพื่อสร้างชีวิตการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทั้งวันนี้และอนาคต พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลต่อไป

สำหรับปี 64 แม้จะมีความท้าทายจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยืดเยื้อแต่ธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ตามแผน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายการรวมธนาคาร ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ได้ตามกำหนด หรือเป้าหมายด้านการดำเนินงาน ซึ่งธนาคารยังคงยึดนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ไม่เร่งขยายสินเชื่อ ขณะเดียวกันก็เน้นปรับปรุงคุณภาพพอร์ตสินเชื่อโดยการลดยอดสินเชื่อที่มีคุณภาพค่อนข้างอ่อนแอ เพื่อคงความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินไว้สร้างการเติบโตเมื่อเศรษฐกิจเอื้ออำนวย

จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ธนาคารจึงเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยขยายฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นได้ 1.1% และโตสินเชื่อได้ 0.9% จากไตรมาส 3/64 โดยการเติบโตสินเชื่อยังคงเป็นไปตามนโยบายระมัดระวังและเน้นสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก ได้แก่ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อ ด้านรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 4.4% จากไตรมาส 3/64 จากทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายนั้น ธนาคารสามารถรับรู้ผลประโยชน์ด้านต้นทุนจากการรวมกิจการได้ตามแผนและรักษาวินัยด้านค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย

แม้การดำเนินนโยบายระมัดระวังจะส่งผลให้ภาพรวมสินเชื่อปี 64 ลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับปี 63 แต่ในเชิงคุณภาพนั้นถือได้ว่าดีขึ้น บ่งบอกได้จากผลรวมของสินเชื่อชั้นที่ 2 หรือ สินเชื่อที่มีความเสี่ยงด้านเครดิต และสินเชื่อชั้น 3 หรือ สินเชื่อด้อยคุณภาพที่ลดลงกว่า 7 พันล้านบาท หรือ ประมาณ 4.4% จากสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับไปสู่ภาวะปกติ ธนาคารก็จะยังคงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ต่อไป

ผลการดำเนินงานหลักของปี 64 ธนาคารมีเงินฝากอยู่ที่ 1,339 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากไตรมาส 3/64 มาจากเงินฝากลูกค้ารายย่อยและสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของสินเชื่อ แต่ลดลง 2.5% จากปี 63 สาเหตุหลักมาจากเงินฝากประจำที่ปรับตัวลดลงตามกลยุทธ์การปรับโครงสร้างเงินฝากหลังการรวมกิจการ รวมถึงการบริหารเงินฝากให้สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อที่ชะลอตัว

สินเชื่ออยู่ที่ 1,372 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาส 3/64 เติบโตจากทั้งสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ชะลอลง 1.5% เมื่อเทียบกับปี 63 เนื่องจากธนาคารมีการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวัง จึงทำให้ยอดสินเชื่อใหม่น้อยกว่ายอดสินเชื่อชำระคืน อีกทั้งมีการปรับปรุงคุณภาพพอร์ตโดยการลดยอดสินเชื่อที่ค่อนข้างอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของสินเชื่อที่อยู่ภายใต้โปรแกรมให้ความช่วยเหลือนั้น มีสัดส่วนประมาณ 12% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ทรงตัวจากไตรมาส 3/64 โดยคุณภาพของพอร์ตยังเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

รายได้จากการดำเนินงานในปี 64 อยู่ที่ 65,537 ล้านบาท ชะลอลง 5.5% จากปีก่อน สะท้อนผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปี 64 อยู่ที่ 31,219 ล้านบาท ลดลง 3% การลดลงดังกล่าวเป็นผลจากการรับรู้ประโยชน์จากการรวมกิจการด้านต้นทุนและการมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย จึงทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงได้ แม้ว่าเป็นปีที่มีกระบวนการรวมกิจการ (Integration) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 48%

ส่วนคุณภาพสินทรัพย์ สินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 42,121 ล้านบาท ลดลงจาก 44,411 ล้านบาทในไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นจาก 39,594 ล้านบาท ณ สิ้นปี 63 ในส่วนของอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม โดยอยู่ที่ 2.81% ในไตรมาส 4/64 ลดลงจาก 2.98% ในไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นจาก 2.50% ณ สิ้นปี 63 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ฐานสินเชื่อชะลอลง และการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเป็นไปตามประมาณการและอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคาร

ด้านความเพียงพอของเงินกองทุนยังก็อยู่ในระดับสูงและเป็นลำดับต้นๆของอุตสาหกรรมธนาคาร โดย ณ สิ้นปี 64 อัตราส่วน CAR และ Tier 1 (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.3% และ 15.3% ตามลำดับ ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ม.ค. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top