ITEL เพิ่มทุน 362 ล้านหุ้นรองรับขาย PP-แจกวอร์แรนต์ผถห.จ่อปิด 2 ดีล M&A

บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้นำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 794,777,508 บาท เป็น 814,777,508 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 40,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) โดยจะจัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 3.19 ของทุนชำระแล้ว

และ จะเพิ่มทุนจำนวน 322,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 4 (ITEL-W4) จำนวนไม่เกิน 322,000,000 หน่วย ที่จะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ในอัตราส่วน 5 หุ้นสามัญต่อใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ 1 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 13 พฤษภาคม 2565

ทั้งนี้ ITEL-W4 มีอายุ 2 ปี อัตราการใช้สิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย สามารถซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ 11.50 บาทต่อหุ้น

นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ITEL เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนดังกล่าวเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์เติบโตแบบ Inorganic (ซื้อกิจการ) ในอนาคต โดยจะนำเข้าพิจารณาในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 เม.ย.65

บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าซื้อกิจการ (M&A) จำนวน 2 ดีล บริษัทด้าน IT Outsourcing ที่มีความชำนาญด้าน Digital Transformation, Cyber Security และ Software House ที่มีศักยภาพ อีกบริษัท จะเน้นในด้านการทำ Social Data Analytic ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำ Due Diligence โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงไตรมาส 2/65

นายณัฐนัย กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 3,200 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% โดยปัจจุบันมีสัญญาในมือ (Contract on Hand) รวมมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 2,400-2,500 ล้านบาท ทั้งงานบริการโครงข่ายโทรคมนาคม (Data Service) งานบริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) และงานติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม (Installation)

ในปีนี้บริษัทคาดหวังจะได้รับงานใหม่เข้ามาไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/65 คาดว่าจะได้รับงานไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาท อาทิ โครงการ Course Online มูลค่า 305 ล้านบาท โครงการ USO-TOT มูลค่า 703 ล้านบาท รวมไปถึงงานติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม และงานให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ให้บริการคลาวด์ขนาดใหญ่ระดับโลก (Hyperscale) เพื่อให้เข้ามาใช้พื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์จำนวน 0.6 เมกะวัตต์ และเดินหน้าขยายขนาดด้าต้าเซ็นเตอร์เป็น 2.4 เมกะวัตต์ ด้วยงบลงทุนราว 200 ล้านบาท ในขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมจะขยายขนาดเป็น 6 เมกะวัตต์ภายใน 2 ปีข้างหน้า ใช้งบลงทุนราว 300-400 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานปี 64 บริษัทมีรายได้รวม 2,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปี 63 มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,059 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปี 63 ที่มีกำไรสุทธิ 184 ล้านบาท จากการที่ประเทศไทยพัฒนาไปสู่ยุคการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ของประเทศ และเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ทำให้สามารถผลักดันยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาใช้งานได้เพิ่มมากขึ้น

อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถรักษาฐานลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และต่อยอดความสำเร็จในการให้ขยายบริการเพิ่มเติม อาทิเช่น งาน Drone & Anti-Drone งาน Smart CCTV และอื่น ๆ โดยอาศัยจุดแข็งจากโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพของการให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่งขันรายอื่น ๆ ในตลาด จึงทำให้บริษัทฯ สร้างรายได้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

สำหรับรายได้จากการให้บริการโครงข่ายในปี 64 อยู่ที่ 1,281 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 15% จากปี 63 ที่มีรายได้ 1,111 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายในปี 64 เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 33% หรืออยู่ที่ 1,093 ล้านบาท จากปี 63 อยู่ที่ 824 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะยังคงบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการรับงานติดตั้งโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ และลูกค้ามีความมั่นใจในเสถียรภาพของโครงข่ายและบริการของบริษัทฯ อยู่แล้ว พร้อมต่อยอดความสำเร็จในกลยุทธ์ New S-Curve ที่เป็นการให้บริการด้าน งาน Big Data, Security และ IoT

ส่วนรายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ทั้งปีเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 7% อันเนื่องมาจากฐานลูกค้าที่ใช้งานปี 2564 มีมากถึง 95% ทำให้รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ในปี 64 อยู่ที่ 92 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 85 ล้านบาท และในแต่ละไตรมาสหลังจากนี้จะมีแนวโน้มของรายได้ที่มั่นคง

“ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทั้งรายได้และกำไรที่นิวไฮ โดยกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีโต 37% อยู่ที่ 251 ล้านบาท ซึ่งเทียบกับปี 63 อยู่ที่ 184 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ทุกประเภท นอกจากนี้ อัตรากำไรสุทธิปี 64 คิดเป็น 10% เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ดีขึ้น”

นายณัฐนัย กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.พ. 65)

Tags: , ,
Back to Top