เกียรตินาคิน จับจังหวะเศรษฐกิจฟื้นหนุนกำไรบจ.ออกกอง KKP TQG ขาย IPO 21-28 ก.พ.

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เผยตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสดี จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการเปิดเมืองครึ่งปีหลัง การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนถึงปลายปี อีกทั้งสัญญาณนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาสนใจหุ้นไทย บลจ.เกียรตินาคินภัทร จึงเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคเคพี THAI QUALITY GROWTH EQUITY (KKP TQG) มุ่งลงทุนในหุ้นไทยเติบโตที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21-28 ก.พ. 2565 เพื่อเป็นทางเลือกรับสถานการณ์เศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 65 นี้มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน โดยคาดว่าจะเติบโต 3.4% บนสมมุติฐานการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศและการกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในไตรมาสสอง รวมถึงนโยบายทางการเงินที่ยังคงผ่อนคลายและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ของรัฐบาล

ปัจจัยเหล่านี้น่าจะผลักดันให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ของบริษัทจดทะเบียนไทยเติบโตในอัตรา 10.2% ซึ่งสูงกว่าของตลาดหุ้นโลกที่ 5.3% ในขณะที่ P/E ล่วงหน้า (Forward P/E) ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ 15.72 เท่า อยู่ในระดับใกล้เคียงกับของตลาดหุ้นโลกที่ 15.81 เท่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจในการลงทุนเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก

โดยตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติได้กลับมามีสถานะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 6 หมื่นล้านบาทจากที่มีสถานะขายสุทธิตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ บลจ.เกียรตินาคินภัทร จึงได้นำเสนอ กองทุน KKP TQG ซึ่งมุ่งเน้นการคัดเลือกหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากการลงทุนหุ้นในประเทศ

สำหรับกองทุน KKP TQG มุ่งลงทุนในหุ้นไทยเติบโตที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีจุดเด่นอยู่ที่กระบวนการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่เข้มข้นทั้งการวิเคราะห์เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้หุ้นที่ประกอบไปด้วยความสามารถในการทำกำไรและศักยภาพในการเติบโต โดยเริ่มจากการคัดกรองหุ้นที่มีขนาดใหญ่สุด 150 อันดับแรกตามมูลค่าตลาดในตลาดหลักทรัพย์ แล้วใช้ระบบการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณที่มีเกณฑ์ชัดเจน อาทิ อัตราส่วนสภาพคล่อง ความสามารถในการทำกำไร และอัตราการเติบโต จากนั้นผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพประกอบ อาทิ ศักยภาพการเติบโตในอนาคต ธรรมมาภิบาลของบริษัท เพื่อคัดเลือกหุ้นที่เหมาะสมสูงสุดประมาณ 15-25 ตัวโดยเฉลี่ยสำหรับการจัดพอร์ตเพื่อให้ได้โอกาสรับผลตอบแทนสูงสุดบนความเสี่ยงที่กำหนด อีกทั้งยังมีกระบวนการติดตามและทบทวนพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.พ. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top