ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดผลกระทบรัสเซีย-ยูเครน ดันต้นทุนวัตถุดิบอาหารในไทยสูงขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือนก.พ. 65 และมีแนวโน้มอาจจะยืดเยื้อออกไปอีก ได้ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลกให้ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวสาลีที่มีอัตราการขยายตัวของราคาพุ่งสูงอย่างมากสอดคล้องไปตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้งบทบาทของรัสเซียและยูเครนที่เป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก ซึ่งรวมครองสัดส่วนการส่งออกข้าวสาลีราว 28.5% ของปริมาณการส่งออกข้าวสาลีโลก จึงมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ผลกระทบของราคาข้าวสาลีโลกที่พุ่งสูงขึ้น จะส่งผลต่อไทยในแง่ต้นทุนวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ใช้ข้าวสาลีเป็นส่วนประกอบอย่างอาหารคน (อาหารแปรรูป/อาหารกึ่งสำเร็จรูป/อาหารสำเร็จรูป) และอาหารสัตว์ ให้มีราคาปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต้องเผชิญปัญหาอุปทานขาดแคลน และการแย่งซื้อข้าวสาลีจากแหล่งอื่น ยิ่งดันราคาให้สูงขึ้น โดยพบว่า ไทยมีการนำเข้าข้าวสาลีจากยูเครนถึง 13.1% ของการนำเข้าข้าวสาลีทั้งหมดของไทย

ในภาวะที่อุปทานข้าวสาลีในยูเครนตึงตัว และมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากท่าเรือทะเลดำที่จะได้รับผลกระทบจากสงคราม อันจะทำให้ไทยต้องประสบภาวะอุปทานขาดแคลน (ไทยจำเป็นต้องนำเข้าข้าวสาลีเพราะไทยผลิตเองได้น้อยมาก) และทำให้เกิดปัญหา Supply Disruption ในกรณีที่หากไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีจากประเทศอื่นได้ หรือหากไทยสามารถจัดหานำเข้าจากประเทศอื่นได้ เช่น ออสเตรเลีย แต่ก็คงต้องเผชิญราคานำเข้าที่สูงเช่นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการแย่งชิงวัตถุดิบกันในตลาดโลกในภาวะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็อยู่ในระดับสูง ท้ายที่สุด จะทำให้อุตสาหกรรมอาหารปลายน้ำมีราคาสูงขึ้นและกระทบต่อผู้บริโภค สะท้อนได้จาก ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ขยายตัว 3.45%

“ดังนั้น จากราคาข้าวสาลีที่สูงขึ้น นับเป็นความเสี่ยงของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ต้องเผชิญในปี 2565 ทั้งในแง่ของความเสี่ยงด้านการจัดหาอุปทาน ต้นทุนราคาวัตถุดิบและต้นทุนโลจิสติกส์ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาอาหารที่ผู้บริโภคต้องจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง”

บทวิเคราะห์ระบุ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงระยะเวลาราว 6 เดือนจากนี้ (มี.ค.-ก.ย.) ราคาข้าวสาลีนำเข้าน่าจะยืนในระดับสูง เนื่องด้วยปัญหาขาดแคลนอุปทานข้าวสาลีจากผลของความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จนเกิดการแย่งกันซื้อ และผลผลิตข้าวโพดไทยรอบใหม่ยังไม่ออกสู่ตลาด ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างอาหารคนและอาหารสัตว์ให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หรืออาจต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อป้อนเข้าสู่สายการผลิต จะยิ่งเป็นการผนวกซ้ำเติมกับปัญหาต้นทุนค่าขนส่งให้สูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่ได้มีการปรับขึ้นค่าระวางเรือไปแล้ว 2-3 เท่า นอกจากนี้ ยังดันให้ราคาอาหารที่ผู้บริโภคต้องจ่ายปรับตัวสูงขึ้นด้วย

“ผลของความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ดันราคาข้าวสาลีให้พุ่งขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังราคาอาหารปลายทางที่ผู้บริโภคต้องจ่ายให้สูงขึ้นด้วย เช่น เนื้อสัตว์ ตามราคาอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป/ขนมปัง ตามราคาข้าวสาลีและราคาธัญพืชทดแทนที่สูงขึ้น เป็นต้น จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้บริโภคในภาวะที่เงินเฟ้อก็อยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อภาคครัวเรือนที่เปราะบางอยู่แล้ว”

บทวิเคราะห์ระบุ

พร้อมคาดว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 อุตสาหกรรมปลายน้ำที่ใช้ข้าวสาลีเป็นส่วนประกอบ อาจให้ภาพปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่คลี่คลายมากขึ้น (แม้ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนจะยังคงมีอยู่) เนื่องจากผลผลิตของพืชทดแทนอย่างข้าวโพดของไทยที่จะมีผลผลิตรอบใหม่ออกสู่ตลาดจำนวนมาก คิดเป็น 72.5% ของผลผลิตข้าวโพดทั้งปี อันจะช่วยให้ผู้ประกอบการปลายน้ำมีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่สายการผลิตได้อย่างเพียงพอมากขึ้น และทำให้ราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงได้

ท้ายที่สุด การที่มีอุปทานข้าวโพดเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ในภาวะที่อุปทานข้าวสาลียังคงมีความไม่แน่นอนสูง จึงน่าจะช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อราคาอาหารที่ผู้บริโภคต้องจ่ายให้ทยอยปรับตัวลดลงได้เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มี.ค. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top