ตลท.เปิดมุมมองโอกาสลงทุนตลาดหุ้นสิงคโปร์ผ่าน DR พร้อมชูกอง REIT ผลตอบแทนโดดเด่น

น.ส.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยในงานสัมมนา “Investment opportunities in Singapore & Thailand through DR Linkage เจาะลึกโอกาสการลงทุนในหลักทรัพย์สิงคโปร์และไทย ด้วย DR” ว่า ที่ผ่านมา ตลท.ได้มีการส่งเสริมตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกระจายการลงทุนในต่างประเทศสำหรับผู้ลงทุน

ปัจจุบันมี DR ที่เข้าจดทะเบียน ได้แก่ DR ที่อ้างอิง ETF หุ้นเวียดนาม, DR อ้างอิงหลักทรัพย์บริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BABA80) และจะมี DR อื่นๆ เข้าจดทะเบียนเพิ่มเติมอีกเร็วๆนี้ รวมถึง DR ที่อ้างอิงหลักทรัพย์จดทะเบียนในสิงคโปร์ด้วย

ทั้งนี้ สิงคโปร์ ถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ก็มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนมากมาย ไม่ว่าจะอยู่ในสิงคโปร์เองหรือต่างประเทศ อีกทั้งยังมีกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มากถึง 44 กอง มูลค่าตามราคาตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือคิดเป็น 12% ของมูลค่าตลาดรวม และมีผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9% ต่อปี

กอง REIT ใน SGX มีค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น อาคารสำนักงานให้เช่า, Industrial REIT, CENTER หรือศูนย์ข้อมูล โดยกองทุนเหล่านี้ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก

นายเจฟ โฮวี่ นักกลยุทธ์การตลาด ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ถือว่ามีตลาดกอง REIT ที่แข็งแกร่งอย่างมาก ดูได้จากมูลค่าตลาดรวม โดยมีการลงทุนทั้งในประเทศสิงคโปร์และนอกประเทศที่มีความมั่นคง เช่น ฮ่องกง และยังกระจายไปในภาคส่วนต่างๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรม บริการ ค้าปลีก หรือ REIT ที่ลงทุนในสินทรัพย์พิเศษ มากกว่า 130 แห่ง ในภูมิภาคเอเชีย

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เอเชียแปซิฟิก กอง REIT ภาคอุตสาหกรรมมีผลตอบแทนจากการลงทุนรวมประมาณ 40% และนอกภาคอุตสาหกรรม มีผลตอบแทนในภาพรวมประมาณ 5% ขณะเดียวกัน REIT ETF ในสิงคโปร์ ก็ถือว่าเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชีย โดยมีกอง REIT ETF ที่โดดเด่นด้วยกัน 5 กอง และมี Asset under management (AUM) ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่ง NikkoAM-Straits Trading Asia ex Japan REIT มี AUM สูงสุด โดยมีสัดส่วนการลงทุนทั้งในสิงคโปร์ คิดเป็น 75% และที่เหลือจะลงทุนนอกประเทศดังกล่าว

สำหรับภาพรวมการลงทุนใน SGX มองว่าด้วยปัจจัยการแพร่ระบาดของโควิด-19, เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากวิกฤตรัสเซียและยูเครน ก็ทำให้กระทบต่อทุกกลุ่มธุรกิจที่คล้ายๆ กัน ซึ่งต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าแต่ละภาคธุรกิจในสิงคโปร์มีผลกระทบอย่างไร แต่ SGX ก็ยังมีการดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสในการขยายช่องทางการลงทุน เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้

ด้านนายเจอร์มิน วอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และหัวหน้าทีมธุรกิจ อีทีเอฟ ภูมิภาคเอเชีย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน Nikko Asset Management กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นบลจ.ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย โดยมี AUM ราว 2.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ดูแลทั้งกอง REIT และ ETF ซึ่งคิดเป็น 40% ของพอร์ต

ขณะที่ยังเป็นผู้ออก NikkoAM-Straits Trading Asia ex Japan REIT โดยที่หลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สิงคโปร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 75% รองลงมาคือฮ่องกง 15% และอินเดีย, มาเลเซีย, จีน, ไทย, ฟิลิปปินส์ ซึ่งถ้ามีการลงทุนในดัชนีนี้ก็จะเป็นการกระจายการลงทุน ไม่ใช่แค่ประเทศอย่างเดียวแต่เป็นประเภทของ REIT ด้วย โดยที่ 36% จะเป็นรีเทล และอีกกว่า 30% เป็นอุตสาหกรรม ออฟฟิศ โรงแรม โรงพยาบาล

ส่วนภาพรวมตลาด Asia ex Japan REIT มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดูจากปริมาณและคุณภาพของ REIT ที่ให้ลงทุนได้ โดยรวมตลาดดังกล่าวก็มีมาร์เก็ตแคปประมาณ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และในส่วนนี้ตลาดสิงคโปร์จะมี Sharpe Ratio ที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะเดียวกันยังมีผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 มี.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top