พาณิชย์ มองแนวโน้มตลาดรถ EV เติบโตดีหนุนนโยบายเศรษฐกิจ BCG

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ชี้การใช้รถยนต์ พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่มีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกจากกระแสรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวแปรสำคัญให้นานาประเทศออกมาตรการสนับสนุนให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลไทยเห็นชอบให้นโยบาย BCG (Bio-Circular-Green) Economy Model เป็นวาระแห่งชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

โดยเมื่อวันที่ 15 ก.พ.65 ครม.มีมติเห็นชอบแพ็กเกจมาตรการสนับสนุนรถ EV ครอบคลุมรถ 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ โดยมีมาตรการยกเว้น/ลดอากรขาเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และให้เงินอุดหนุนตั้งแต่ปี 2565-2568 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถ EV มากขึ้น รวมทั้งมีเป้าหมายให้ไทยสามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้าได้เอง และสามารถแข่งขันได้ ตลอดจนรักษาการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญของโลก

มาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV

ประเภทรถลดอากรขาเข้าสูงสุดลดภาษีสรรพสามิตเงินอุดหนุน (ปี 65-68)
1.รถยนต์นั่งไม่เกิน 10 คน ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท40% (ปี 65-66)จาก 8% เป็น 2% (ปี 65-68)– 7 หมื่นบาท (แบตฯ ไม่เกิน 30 KW/H)
– 1.5 แสนบาท (แบตฯ 30 KW/H ขึ้นไป)
2.รถยนต์นั่ง 2-7 ล้านบาท20% (ปี 65-66)จาก 8% เป็น 2% (ปี 65-66) เป็น 0% (ปี 65-68)
3.รถกระบะผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทเป็น 0% (ปี 65-68)– 1.5 แสนบาท (แบตฯ 30 KW/H)
4.รถจักรยานยนต์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท– 18,000 บาท

ที่มา: คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน

นอกจากมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV แล้วยังมีมาตรการจูงใจและสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถไฟฟ้าเพื่อทดแทนการนำเข้า อาทิ การลดอากรชิ้นส่วนนำเข้าเพื่อการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงปี 2565-2568  อาทิ แบตเตอรี่ Traction Motor คอมเพรสเซอร์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ระบบควบคุมการขับขี่ (DCU) On-Board Charger PCU inverter DC/DC Converter และ Reduction Gear รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ 725,000 คัน รถจักรยานยนต์ 675,000 คัน รถบัสและรถบรรทุก 34,000 คัน ภายในปี 2573 ทั้งนี้ในปี 2564 ยอดการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% มีจำนวน 3,994 คัน

 เมื่อพิจารณาการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2560-2564 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี39.49% และในปี 2564 มีมูลค่าการส่งออก 89,561 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยประเทศ 5 อันดับแรกที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ เบลเยี่ยม 13.38% สหราชอาณาจักร 12.73% เยอรมนี 9.55% สหรัฐอเมริกา 9.49% และนอร์เวย์ 8.78%

สำหรับไทย 0.32% ส่งออกอันดับที่ 31 ของโลก และอันดับที่ 5 ของเอเชีย รองจาก เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 288 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 271.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และในปี 2560-2564 การส่งออกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 218.64% ทั้งนี้การส่งออกของอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยปี 2564 มีมูลค่า 38,290 ล้านเหรียญสหรัฐ  หรือ 1,203,265 ล้านบาท มีสัดส่วน 7.44% ของ GDP ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นเครื่องยนต์สันดาป

“กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดมลพิษ จะมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมผู้ใช้ยานยนต์ และต่ออุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของโลก ในการหันมาให้ความสำคัญต่อรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์มากยิ่งขึ้นในอนาคต ไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน สามารถสร้างงานและสร้างรายได้ให้ประเทศ นอกจากนี้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของยานยนต์แห่งอนาคต จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น” นายรณรงค์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top