โบรกฯ แนะถ้าท้อแท้กับหุ้นใหญ่ลองจับจังหวะลงทุนหุ้น mai รับโอกาส Outperform

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ Theme Strategy แนะนำการลงทุนในนหุ้นรตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) เนื่องจากไตรมาส 4/64 บริษัทใน mai มีกำไรอยู่ที่ 1,888 ล้านบาท ลดลง 36% จากไตรมาส 3/64 (QoQ) จากผลของฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายมักสูงกว่าปกติ แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ถือว่าเติบโตโดดเด่น 121% (YoY) จากฐานต่ำเพราะผลกระทบของโควิด-19 โดยกลุ่มที่เติบโตเด่น คือ บริการ โดยมีหลายบริษัทที่กำไรสุทธิโตทั้ง QoQ และ YoY ขณะที่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิเคยเติบโตเด่น เพราะมีบางบริษัทได้ประโยชน์จาก COVID-19 เริ่มเห็นภาพการเติบโตที่ชะลอตัวทั้ง QoQ และYoY

เราคาดว่า mai Index จะกลับมา Outperform SET 50 และ SET Index ในช่วงครึ่งแรกของ Q2/65 เพราะหุ้นใหญ่ที่พึ่งพาเงินลงทุนจากต่างชาติมีโอกาสแกว่งผันผวนจากการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะที่ Index Ratio ระหว่าง mai:SET และ Spread ROE เราใช้เป็นดัชนีชี้วัดเชิงเปรียบเทียบยังสะท้อนความน่าสนใจใน mai Index เมื่อเทียบกับ SET Index แม้ Upside จะเหลือน้อยลงเมื่อเทียบกับกรอบการเคลื่อนไหวในอดีต

บล.หยวนต้า ระบุว่าในไตรมาส 4/64 มีเพียงกลุ่มบริการเท่านั้นที่กำไรเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เช่น A5, ADD, AMA, AUCT, FVC, GLORY, LEO, MORE, SLM, SONIC, THMUI, TNP, WINNER, YGG เป็นต้น

ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, ธุรกิจการเงิน, กลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง QoQ แต่เติบโต YoY โดยบริษัทที่เติบโต YoY ได้ดีคือ ECF, IP, SMD, AIRA, APP, BE8, DITTO เป็นต้น ส่วนกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่กำไรเติบโต QoQ แต่ปรับตัวลง YoY หุ้นที่ผลประกอบการเด่นในกลุ่มนี้ คือ FPI, KUMWEL, MBAX, PPM, SWC, TPLAS เป็นต้น

ในประเด็นที่ mai ยัง Outperform หุ้นใหญ่แม้ Upside โดยภาพรวมยังจำกัดนั้น บล.หยวนต้า ระบุว่า mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6%YTD ดีกว่า SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1%YTD (ข้อมูลถึงวันที่ 22 มี.ค.65) แนวโน้มในช่วงไตรมาส 2/65 คาดว่า mai Index ยังมีโอกาส Outperform หุ้นขนาดใหญ่ แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีคุณภาพมากขึ้น ด้วยเหตุผล คือ

1 ) สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจยังรองรับแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กได้ดี โดย Market Cap. ของ SET Index อยู่ที่ 82% ของปริมาณเงิน M2 และ Market Cap. ของ mai Index อยู่ที่เพียง 2% ของปริมาณเงิน M2 อิงสถิติในอดีตจะพบว่า mai Index จะพลิกมา Underperform เมื่อ Market Cap. ของ SET Index ขึ้นไปอยู่ในกรอบ 90-100% ของปริมาณเงิน M2 (หุ้นเล็กมักถูกขายลดความเสี่ยงก่อนหุ้นใหญ่ ในช่วงที่สภาพคล่องตึงตัว)

2 ) หุ้นใหญ่จะผันผวน จากการปรับสมดุลให้รับกับการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดและ ECB จึงทำให้หุ้นขนาดเล็ก ซึ่งพึ่งพาสภาพคล่องในประเทศเป็นหลัก มีโอกาสกลับมา Outperform

3 ) Index Ratio ระหว่าง mai:SET อยู่ที่ 0.37 เท่า ยังมีช่องว่างให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกรอบบนในอดีตที่ 0.40-0.45 เท่า

4 ) Spread ROE ระหว่าง mai:SET ยังทรงตัวในระดับสูงที่ 3.7 เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 5.7% สะท้อนความสามารถในการบริหารสินทรัพย์และการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ของ mai Index ที่ทำได้ดีกว่า SET Index อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

บล.หยวนต้า แนะนำ เลือก Value Play ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อิงจากบทวิเคราะห์หุ้น mai ฉบับก่อนวันที่ 25 พ.ย.64 รอบนี้คัดเลือกจาก 1 ) Valuation ยังไม่แพง อิง Current PER หรือ PBV ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 2) แนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวใน Q1/65 หรืออย่างช้า Q2/65 และผลประกอบกำรทั้งปี 65 ต้อง Turnaround 3 ) ถูกกระทบจากราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบจำกัด หรือมีความยืดหยุ่นในการปรับราคาขายสินค้าหรือค่าบริการตำมต้นทุนได้ 4 ) มี Theme การลงทุนชัดเจน เช่น EV Car, Digital Asset, หรือ Reopening 5 ) กราฟเทคนิคไม่อยู่ในโซนซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งได้แก่ BROOK, BC, PJW, SPA, TACC

– BROOK แนวต้าน 1.20-1.30 บาท แนวรับ 0.90-1.00 บาท ตัดขาดทุน 0.80 บาท มีพันธมิตรหลักคือ Binance ที่เป็นเบอร์ 1 ในตลาด Digital Asset ซึ่งจะทำให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและโครงการใหม่ของ Binance รวมถึงการได้เป็นผู้ลงทุนกลุ่มแรกผ่านการแลกเปลี่ยนดีลต่างๆ กับ Global Partners ของ Binance ถือเป็นจุดแข็งที่สร้างความแตกต่างให้กับ BROOKมื่อเทียบกับบริษัทที่ลงทุนด้าน Digital Asset ในรูปแบบอื่น หลังจากนี้จะรุก Metaverse NFT, และ GameFi และตั้งเป้ากำไรเติบโตของผลประกอบการปี 65 เหมือน Tech Company ที่โตแบบ S-Curve Growth โดยในส่วนของธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงืนมีงานในมือราว 2.33 หมื่นล้านบาทและเริ่มมีงานที่เกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาด้าน Digital Asset บ้างแล้ว กำไรสุทธิปี 64 อยู่ที่ 347 ล้านบาท เติบโต 451% YoY และROE อยู่ที่ 12.4% ราคาปัจจุบันซื้อขายบน Current PER 27.4 เท่า และ Current PBV ที่ 3.00 เท่า

– BC แนวต้าน 2.50-2.70 บาท แนวรับ 1.80-1.90 บาท ตัดขาดทุน 1.60 บาท ธุรกิจคลินิกแพทย์แผนไทยและกัญชาบริษัทได้ร่วมมือกับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก (DTAM) ผลิตยาแพทย์แผนไทยจากดอกกัญชาที่ปลูกภายใต้บริษัท บีสโปค ไลฟ์ ไซเอนซ์ จำกัด (บริษัทย่อยของBC) และมทร.ล้านนามาจำหน่ายในคลินิกของบริษัท วางแผนเปิดคลินิกสาขาแรกกลางปี65และตั้งเป้าเปิดราว 8-10 สาขาปี 66 เบื้องต้นคาดรายได้ต่อคลินิกไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท/ปี ด้านธุรกิจอสังหาฯ ตั้งเป้าจำหน่ายโรงแรม 8 แห่งภายในปี 65 ส่วน NFT ล็อตแรก 99 แบบจำหน่ายหมดภายใน 48 วันได้รับเงิน 4 ล้านบาท วางแผนจำหน่ายเพิ่ม2,000 แบบ ราคาปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่า NAV ของสินทรัพย์ที่มีมูลค่ำราว 2.60 บาทต่อหุ้น โดยยังไม่รวม Upside จากธุรกิจกัญชา

– PJW แนวต้าน 5.50-6.00 บาท แนวรับ 4.80-4.90 บาท ตัดขาดทุน 4.50 บาท คาดกำไรสุทธิ Q1/65 ที่ 50 ล้านบาท เติบโต 16% YoY และจะเป็นฐานกำไรต่อไตรมาสสำหรับทั้งปีนี้ เพราะธุรกิจบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนยานยนต์ยังเติบโตต่อเนื่องเนื่องจากสาสามารถปรับราคาขายตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์จะเข้ามาหนุนตั้งแต่ Q2/65 ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิทั้งปี 65 ที่ 200 ล้านบาท เติบโต 18%YoY ปรับโครงสร้างธุรกิจโดยจัดตั้งบริษัท PJW AutoEV เพื่อรุกตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับ EV Car ที่มีความได้เปรียบในด้านชิ้นส่วนพลาสติกที่มีความทนทนและน้ำหนักเบา โดยนิยมใช้มากในส่วนประกอบด้านนอกชุดแต่งด้านในระบบหล่อเย็นอุปกรณ์หุ้มแบตเตอรี่และอุปกรณ์ชาร์จไฟ ผู้บริหารตั้งเป้าธุรกิจใหม่จะสร้างกำไรได้เท่ากับธุรกิจเดิมในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER 65 เพียง 13.99 เท่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 25.00 เท่า

– SPA แนวต้าน 8.50-9.00 บาท แนวรับ 6.60-6.80 บาท ตัดขาดทุน 6.00 บาท ภาพรวมธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้นคาดความตึงตัวของกระแสเงินสดจะลดลงตั้งแต่ Q1/65 และการเดินทางเข้าประเทศที่ผ่อนคลายมากขึ้นจะช่วยหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ SPA (75% ของรายได้ช่วง Pre COVID-19) กลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะสั้นบริษัทปรับกลยุทธ์รอการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาใน H2/65 โดยเน้นกลุ่มลูกค้าในประเทศมากขึ้นคาดหวังรายได้จากภายในประเทศ 80%และต่างประเทศ 20% ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 65 ที่ 10.00 บาท/หุ้น อิงกำไรปกติปี 66 ที่ 225 ล้านบาท และ PER 48.00 เท่า (ค่าเฉลี่ยในช่วงปกติ) โดย Discount เป็นมูลค่าปัจจุบันด้วย Ke ที่ 11.9%

– TACC แนวต้าน 8.70-9.00 บาท แนวรับ 7.20-7.40 บาท ตัดขาดทุน 6.70 บาท แนวโน้ม Q1/65 คาดรายได้เติบโตราว10% YoY ทรงตัว QoQ แม้ปกติรายได้ในไตรมาส 1 จะชะลอจากไตรมาส 4 ตามฤดูกาล แต่ปีนี้มีรายได้จาก Lotus’s เพิ่มขึ้น QoQ ส่วนธุรกิจคาแร็คเตอร์การ์ตูนคาดเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY เพราะลูกค้าเลื่อนคำสั่งซื้อมาจากช่วง Lockdown บริษัทตั้งเป้ากำไรเติบโตของรายได้ปี 65 ที่ 10-15% ซึ่งเป็นการเติบโตในระดับที่สามารถทำได้และยังไม่รวมรายได้จากธุรกิจใหม่ เช่น เครื่องดื่มกัญชงและสินค้ากัญชาทางการแพทย์

รวมถึงการเริ่มจำหน่ายผงเครื่องดื่มแบบ Non-coffee ร่วมกับพันธมิตรโดยจะวางจำหน่ายในMakro และโอกาสจากการจำหน่ายสินค้าให้กับตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติหากมีการเติบโตในอนาคต ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 65 ที่ 10.10 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER 65 เพียง 18.99 เท่า ยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 25.00 เท่า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top