PTTEP บวก 2.06% โบรกฯเห็นพ้องเชียร์”ซื้อ”รับราคาน้ำมันดิบยืนสูง-คาดกำไรฟื้น

ราคาหุ้น PTTEP ปรับขึ้น 2.06% หรือเพิ่มขึ้น 3.00 บาท มาที่ 158.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 417.66 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00 น. จากราคาเปิด 147.00 บาท ราคาสูงสุด 149.00 บาท ราคาต่ำสุด 147.00 บาท

บล.เอเชียเวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์เช้านี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 168 บาท จากเดิม 140 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบ และประมาณการผลประกอบการ โดย Momentum เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ยังคงยืนในระดับสูงต่อเนื่องในเดือน เม.ย. และการคาดหมายกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 และครึ่งหลังปี 65 ที่ปรับเพิ่มทั้ง QoQ และ YoY ขณะที่ระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนการเติบโตของผลประกอบการจากการทยอยเริ่มดาเนินงานของแหล่งผลิตปิโตรเลียมใหม่ ระหว่างปี 66-69

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย ไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 95.6 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 22%QoQ และเพิ่มขึ้น 59%YoY ทำให้คาดว่า PTTEP จะมี ASP ไม่น้อยกว่า 50.8 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 8.4%QoQ และเพิ่มขึ้น 26%YoY และ ยอดขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.26 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.2%QoQ และเพิ่มขึ้น 11%YoY ต่ากว่า Guidance ที่บริษัทให้ไว้ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากยอดขายจากแหล่งในประเทศที่ลดลง

เอเชียเวลท์ ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในปี 65 เพิ่มเป็น 85 เหรียญต่อบาร์เรล จากเดิม 70 เหรียญต่อบาร์เรล เพื่อสะท้อนราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือน มี.ค. ที่ปรับพิ่มขึ้นเกินกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล จนทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยไตรมาส 1/65 สูงถึง 95.6 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 22%QoQ และเพิ่มขึ้น 59%YoY เป็นผลมาจากสถานการณ์ยูเครน-รัสเซียที่ยังมีความไม่แน่นอน

ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มประเมินว่าราคาน้ำมันดิบจะแกว่งตัวในกรอบ 100-120 เหรียญต่อบาร์เรล และเชื่อว่าจะจบภายใน เม.ย.65 โดยราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับลดลงในช่วงที่เหลือของไตรมาส 2/65 ถึงครึ่งหลังปี 65 จากสถานการณ์ด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้น ทั้งจาก (1) สหรัฐฯ มีแผนระบายน้ำมันในคลังสารองทางยุทธศาสตร์ (SPR) 180 ล้านบาร์เรล โดยน่าจะระบายออกมาไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน

(2) แผนการปรับเพิ่มกำลังผลิตของกลุ่ม OPEC+ ต่อเนื่อง ล่าสุดมีมติปรับเพิ่มกำลังผลิต 432,000 บาร์เรลต่อวันสำหรับแผนการผลิตเดือน พ.ค. และ (3) การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน หากบรรลุข้อตกลงจะทำให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันได้ โดยก่อนหน้านี้อิหร่านประกาศความพร้อมกลับมาผลิตน้ำมันดิบ 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน (MBD) ภายใน 2 เดือน ซึ่งจะทำให้มีน้ำมันดิบส่งออกมาสู่ตลาดเพิ่ม 1.4MBD เพิ่มขึ้นจากกำลังผลิตปัจจุบันที่ 2.4MBD จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังปี 65 มีโอกาสกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ 75-80 เหรียญต่อบาร์เรล

ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิของ PTTEP ในช่วงที่เหลือของปี 65 จะสวนทางกับทิศทางของราคาน้ำมันดิบ หลังสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน คลี่คลาย และอุปทานที่เพิ่มขึ้น จะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจากค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/65 ซึ่งจะทำให้การรับรู้ผลจากการทา Hedging มีผลขาดทุนที่ลดลง หรือพลิกกลับมาเป็นกำไร โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 โดยปัจจุบันบริษัทเหลือสัญญา Hedging จานวน 11.55 ล้านบาร์เรล โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/65 มีการ Mark-to-Market ไว้ที่ 98-100 เหรียญต่อบาร์เรล

รวมไปถึงราคาขายก๊าซฯ ในช่วงที่เหลือของปี 65 ที่ปรับเพิ่มขึ้น จากผลของราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม (มี Lag-time ประมาณ 6-18 เดือน) และการเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ของยอดขายปิโตรเลียมในทุกไตรมาสที่เหลือของปี 65 (คาดยอดขายเฉลี่ยต่อวันในปี 65 อยู่ที่ 467,000 บาร์เรลต่อวัน) การปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 เพิ่มขึ้นเป็น 6.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 66%YoY ซึ่งหากกำไรสุทธิ Q1/65 เป็นไปตามที่เราคาดจะคิดเป็น 15% ของประมาณการ

คาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 9.8 พันล้านบาท ลดลง 8%QoQ และลดลง 15%YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้ผลขาดทุนจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน (Hedging Loss) มากถึง 8 พันล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรปกติอยู่ที่ 1.77 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY โดยปัจจัยบวกหนุนกำไรปกติมาจาก (1) ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ปรับเพิ่ม โดยเราคาดว่าบริษัทจะมีราคาขายก๊าซฯ ไม่น้อยกว่า 6.1 เหรียญต่อ MMBTU เพิ่มขึ้น 5.0%QoQ และเพิ่มขึ้น 8.3%YoY

ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น PTTEP ประเมินราคาเหมาะสมปี 65 ใหม่ที่ 156.00 บาท จากเดิม 136.00 บาท อิงวิธี DCFเทียบเท่าระดับ +0.5SD ของ Avg.PBV อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสะท้อนราคาน้ำมันในช่วงที่สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนตึงเครียดถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำเพียง “ซื้อเก็งกำไร” ตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน หรือรอจังหวะย่อตัวเพื่อกลับเข้าไปลงทุนรอบใหม่

ผลประกอบการ Q1/65 ของ PTTEP คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 9.6 พันล้านบาท (-10%QoQ, -17%YoY) อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมผลขาดทุนจาก Oil Hedging ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราว 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากราคาน้ำมันอ้างอิง Brent ที่ปรับเพิ่มขึ้น คาดกำไรปกติอยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านบาท (+47%QoQ, +95%YoY) ได้แรงหนุนจาก 1)ปริมาณขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยคาดอยู่ที่ 428KBOED(+2%QoQ, +12%YoY) แต่ต่ำกว่า Guidance ที่บริษัทเคยให้ไว้ราว 2% เนื่องจากไตรมาสก่อนๆ มีการเรียกรับก๊าซในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นไปแล้ว

2) ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ย (ASP) คาดอยู่ที่ US$51/BOE (+9%QoQ, +26%YoY) จากราคาขาย Liquid (Crude และ Condensate) ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางน้ำมันดิบอ้างอิงส่วนราคาขาย Gas เฉลี่ยอยู่ที่ US$6.1/MMBTU (+5%QoQ, +9%YoY) ทยอยปรับเพิ่มเพราะมี Lag-Time จากราคาน้ำมัน3) ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย Unit Costคาดอยู่ที่ US$28/BOE (-5%QoQ, +0.2%YoY) เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่าย Write-off และการปรับค่าตอบแทนการผลิตในโครงการบงกช

ราคาน้ำมันยังผันผวนสูงติดตามสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนใกล้ชิด ประเด็นความตึงเครียดทางการเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนตั้งแต่วันที่24 ก.พ.65 จนถึงปัจจุบันแม้จะมีความหวังเชิงบวกจากการเจรจาสันติภาพแต่สถานการณ์โดยรวม ยังคงยืดเยื้อ ขณะเดียวกันกลุ่มโอเปกพลัสยังคงยึดข้อตกลงเดิมเพิ่มกำลังการผลิตเพียง 432,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ค.65ประกอบกับผู้ผลิตน้ำมันดิบบางรายไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ตามโควต้าเนื่องจากขาดการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบโลกมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นอาจมีปัจจัยกดดันจากการประกาศล็อกดาวน์เมื่องใหญ่ในประเทศจีน การปล่อยน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันส่วนระยะกลางถึงยาวติดตามการประชุมข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านหากสำเร็จลุล่วงจะทำให้อิหร่านสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันได้อีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของ PTTEP ในช่วง Q2/65 ยังได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบดูไบที่อยู่สูงกว่า US$100/bbl ขณะที่ปริมาณขายเฉลี่ยคาดเพิ่มขึ้นอีก 45-50KBOED จากโครงการ G1-G2/Oman Block 61/Algeria HBR Phase 1 ส่วนภาพรวมทั้งปี 65 ปรับประมาณการกำไรปกติขึ้นจากเดิม 50% อยู่ที่ 7.29 หมื่นล้านบาท (+52%YoY) ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 65 ที่ US$90/bbl (เดิม US$70/bbl) และราคาก๊าซฯ ที่ US$6.2/MMBTU (เดิม US$5.8/MMBTU)ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบที่เพิ่มทุกๆ US$1/bbl จะส่งผลให้ราคาก๊าซฯ ปรับขึ้น US$0.015/MMBTU

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 เม.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top