หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซต์เวย์-รีบาวด์เล็กน้อยปัจจัยลบจากตปท.ยังกดดัน

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว Sideway มีโอกาสรีบาวด์ตามตลาดสหรัฐ-ภูมิภาคหลังวานนี้ดัชนีลงมาทดสอบแนวรับ 1,670 จุดแล้วดีดกลับมาได้ แต่คงยังไปได้ไม่ไกลท่ามกลางปัจจัยลบจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยแรงและลดขนาดงบดุลเร็ว รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับที่ 1,670 และ 1,660 จุด แนวต้าน 1,690 และ 1695 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสแกว่งตัว Sideway และรีบาวด์ได้ตามตลาดสหรัฐ-ภูมิภาค หลังจากวานนี้ดัชนีลงมาทดสอบแนวรับที่ 1,670 จุดแล้วสามารถดีดกลับมาได้ อีกทั้งมองว่าหุ้นขนาดใหญ่อย่าง TU และ EA รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงไปไหนได้ไม่ไกล เนื่องจากยังมีปัจจัยลบจากต่างประเทศกดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดือน มี.ค.ที่ระบุแนวโน้มการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงและลดขนาดงบดุลเร็ว และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีนได้กลับมาใช้มาตรการปิดเมืองอีกครั้ง

พร้อมให้แนวรับที่ 1,670 และ 1,660 จุด ขณะที่แนวต้านให้ไว้ที่ 1,690 และ 1695 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (7 เม.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,583.57 จุด เพิ่มขึ้น 87.06 จุด หรือ +0.25%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,500.21 จุด เพิ่มขึ้น 19.06 จุด หรือ + 0.43% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,897.30 จุด เพิ่มขึ้น 8.48 จุด หรือ + 0.06%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,097.05 จุด เพิ่มขึ้น 208.48 จุด หรือ +0.78%, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,239.88 จุด เพิ่มขึ้น 3.18 จุด หรือ +0.10% ส่วนดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,667.53 จุด ลดลง 141.45 จุด หรือ -0.65%
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 เม.ย.) ที่ระดับ 1,682.41 จุด ลดลง 18.77 จุด -1.10%
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,226.93 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 เม.ย.65
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 96.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.65
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 เม.ย.) อยู่ที่ 17.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.50 แข็งค่าสวนทางภูมิภาค ให้กรอบวันนี้ 33.40-33.60
  • “บีโอไอ” ปลดล็อกลงทุนสถานีชาร์จอีวี หนุนรายย่อย-สตาร์ทอัพ ลงทุนฟาสต์ชาร์จ ดันเป้า 1.2 หมื่นหัวชาร์จ ภายในปี 2030 สั่ง “พลังงาน” บูรณาการแพลตฟอร์มชาร์จไฟ เผยยอดลงทุนไตรมาสแรกแสนล้าน ชี้ไต้หวันขึ้นเบอร์ 1 ระบุผลสงครามมีผลจำกัดต่อการลงทุนไทย
  • บอร์ดกสทช.รับ หนังสือค้านดีลควบรวมทรู-ดีแทค รวม 3 ฉบับ ระบุไม่มีการพิจารณาข้อร้องเรียนว่า ขัดต่อข้อกฎหมายใดหรือไม่ จี้อนุกรรมการ ติดตามการควบรวมกิจการจัดทำร่างมาตรการกำกับดูแลผลกระทบที่จะเกิดจากการควบรวม 11 เม.ย.นี้
  • “บิ๊กตู่” นัดถก ศบค.ชุดใหญ่ 8 เม.ย. ประเมินสถานการณ์รับมือช่วงเทศกาล คลอดมาตรการจัดกิจกรรมสงกรานต์ปรับลดนำเข้าแรงงานต่างด้าว สธ.ชง ศบค.ยกเลิกตรวจ RT-PCR ผู้เดินทางจากต่างประเทศ เหลือแค่ ATK แจงวัคซีนเข็ม 5 ยังอยู่ระหว่างศึกษา คาดฉีดห่างจากเข็ม 4 นานพอควร “อนุทิน” สั่ง รพ.ทุกแห่งจัดวอล์กอินฉีดวัคซีน ขอลูกหลานกลับบ้านพาผู้สูงอายุมาฉีด

หุ้นเด่นวันนี้

  • ERW (กรุงศรี) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท ได้ประโยชน์โดยตรงหากวันนี้ ศบค. ชุดใหญ่มีมติให้ตรวจ ATK แทน RT-PCR ช่วยอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายให้กับนักท่องเที่ยวคาดเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เป็นบวกกับ ERW เพราะมีสัดส่วนรายได้จากท่องเที่ยวในประเทศเกือบ 100%
  • CPALL (เมย์แบงก์) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 79 บาท คาดกำไรไตรมาส 1/65 ขยายตัวเด่นทั้ง QoQ, YoY จากการบริโภคที่ฟื้นตัว การขยายสาขา การปรับเพิ่มราคาสินค้าจากต้นทุนสินค้าที่ปรับขึ้น หนุน SSSG ช่วง ม.ค.-ก.พ. ของร้าน 7-11 คาดปรับขึ้นเด่น 10-11% รวมทั้งอัตราการทำกำไรขั้นต้นคาดเพิ่มขึ้นราว 20-40 bps เพิ่มความน่าสนใจในการสะสม
  • FORTH (เคทีบีเอสที) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 37.00 บาท คาดรายโตจาก Power board, ตู้เต่าบิน-บุญเติม ผลิต-ส่งมอบและรับ Order ใหม่ๆ ต่อเนื่อง ได้ประโยชน์จาก EV (Power board) ที่จะมีคำสั่งผลิตจากลูกค้ารายใหญ่ที่ US ส่วนตู้เต่าบินและตู้บุญเติม ทยอย Roll-out อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจในกลุ่ม SMART Service จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองการจับจ่ายใช่สอยที่เพิ่มขึ้น บ. อัพเกรด Software ทั้งตู้เต่าบินและบุญเติมต่อ KTBST ประเมินกำไรสุทธิปี 65-66 ที่ 912 ล้านบาท และ 1 พันล้านบาท +26%YoY, 14%YoY ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 เม.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top