เลขาสมช. รอ ศบค.ชุดใหญ่เคาะปรับมาตรการเข้าไทย ลดวันกักตัว-ปรับระบบ Test&Go

พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงการพิจารณามาตรการผ่อนคลายที่จะมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.ชุดใหญ่ ในวันที่ 22 เม.ย.ว่า จะมีการปรับแผน Test & Go ของผู้เดินทางเข้าประเทศที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั่วโลกได้มีการผ่อนคลายและพิจารณาเรื่องนี้มาโดยตลอด และเตรียมมาตรการที่จะเสนอไว้แล้ว เพื่อให้มีความสะดวกมากขึ้น

แต่ในส่วนของผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ก็จะปรับมาตรการให้สะดวกและรัดกุมมากขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขประเมินให้อยู่ในระดับที่รับได้ โดยจะมีการพูดคุยกันก่อนที่จะนำเสนอในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งมีอยู่หลายแนวทาง คือ จากเดิมไม่ให้ตรวจจากต่างประเทศอยู่แล้ว แต่อีกมิติหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน หรือประเทศในโลก ส่วนใหญ่จะให้มีการตรวจจากประเทศต้นทาง เมื่อเข้าประเทศมาก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก

“แต่ที่เราทำ เพราะการตรวจจากประเทศต้นทางมีความน่ากังวลอยู่หลายส่วน เราจึงต้องการสร้างความมั่นใจ เมื่อเข้าประเทศมาแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ปลอดเชื้อแน่นอน ที่ผ่านมา จึงมีการตรวจภายในประเทศ แต่จากสถานการณ์การประเมินพบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศมีจำนวนน้อยมาก มีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก อาจจะมีการปรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ให้แนวทางมาพิจารณาให้รอบคอบ” เลขาธิการ สมช.ระบุ

พล.อ.สุพจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนการต้องตรวจ ATK หรือไม่นั้น จะมีการพิจารณาสรุปกันในวันเดียวกันนี้ ส่วนคนที่ไม่ได้รับวัคซีนและเดินทางเข้ามาก็จะพิจารณาในเรื่องของการกักตัว ถ้ามีมาตรการการตรวจที่รัดกุม เชื่อถือได้ การกักตัวอาจจะลดลง พร้อมยืนยันว่า การประเมินจะดูจากตัวเลขและปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัย รวมถึงความต้องการให้เกิดความสะดวกทั้งคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มเศรษฐกิจหลักของไทย เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาในทุกมิติ

ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนต้องการให้ยกเลิก Thailand Pass และ Test & Go ไปเลยนั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ได้รับฟังมาโดยตลอด แต่อยากให้เข้าใจว่า Thailand Pass ไม่ใช่ระบบที่ไม่ดี ถ้าย้อนกลับไปปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีระบบนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ระบบก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้อง และใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งหากที่ประชุมใหญ่ ศบค. เห็นชอบก็จะเริ่มได้ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ตามแผน ทั้งทางอากาศ และทางบก

ส่วนการปรับมาตรการรับเปิดเทอมนั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า จะมีการพูดคุยเงื่อนไขบางประการที่กำหนดไว้ในมาตรการป้องกัน ที่ทำให้สถานศึกษามีข้อจำกัดในการให้นักเรียนเรียนออนไซต์เต็มจำนวน ซึงจะมีการหารือกันว่าควรปรับมาตรการอย่างไรให้โรงเรียนปลอดภัย เพื่อรับนักเรียนออนไซต์ได้เต็มจำนวน

ส่วนการปรับโซนสี ยืนยันว่า มีเงื่อนไขการพิจารณาอย่างชัดเจน ซึ่งจากเท่าที่ดูตัวเลขก็มีแนวโน้มว่าจะปรับไปในทางที่ดีขึ้นทุกจังหวัด และมาตรการป้องกันที่ผ่านมา ทั้งประชาชน สถานประกอบการ เริ่มปรับตัวอยู่กับโควิด-19 ได้ดีมาก ดังนั้นแนวโน้มในการปรับโซนสี ก็จะเป็นไปตามเงื่อนไข

พล.อ.สุพจน์ ยังได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค VUCA มุ่งเน้นการดำเนินงาน 4 ส่วน ได้แก่ V-Vaccine เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยให้ได้ 100 ล้านโดส, U-Universal Prevention ให้ประชาชนใช้มาตรการป้องกันตนเองสูงสุด, C-COVID Free Setting ร้านค้า สถานประกอบการใช้มาตรการพื้นที่ปลอดโควิด-19 และ A-ATK ใช้ชุดตรวจคัดกรองเมื่อมีความเสี่ยง

ส่วนกรณีที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หาเสียง ชูให้กรุงเทพฯ นำร่องถอดหน้ากากอนามัย ใช้ชีวิตปกติใน 90 วันนั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า การนำไปสู่ชีวิตปกติแบบโรคประจำถิ่น กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการไว้แล้ว และมีการปรับแผนอย่างต่อเนื่อง และต้องเข้าใจว่าโควิด-19 ยังต้องอยู่กับเราอีกเป็นปี เพราะฉะนั้นเราจะใช้ชีวิตได้อย่างปกติแต่ประชาชนติดเชื้อ หรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุดแต่ยังสามารถประกอบอาชีพได้ เพราะฉะนั้นหน้ากากอนามัยยังเป็นอาวุธสำคัญที่ใช้ในการป้องกันตัวเอง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 เม.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top