TTB คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยกดดันบาทอ่อนค่า-กระทบเงินไหลเข้าไทยชะลอ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในการประชุมเดือนพ.ค.นี้ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ สอดคล้องตามคาดการณ์ของตลาดการเงินและนักลงทุน โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนพ.ค.นี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 49 ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องติดต่อกันในสองการประชุม ยิ่งไปกว่านั้นหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50 Basis Points (BPS) จะถือเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย นโยบายมากที่สุดในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่เดือนพ.ค. 43 ที่เป็นครั้งสุดท้ายมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 50 bps โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมีการปรับตัวสูงขึ้นตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้นอายุ 3 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.85% เป็นการเพิ่มขึ้น 50 bps เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นเดือนมี.ค. 65 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาวอายุ 10 ปีได้ปรับตัวทะลุ 3% ในช่วงต้นเดือนพ.ค. 65 สะท้อนภาพความคาดหวังถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของตลาดการเงิน

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดย ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดทั้งปี 65 โดยให้ความสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านการบริโภคที่ลดลงจากผลของราคาสินค้าอุปโภค บริโภคและพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านการผลิตจากต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีน อาจส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศจีนเกิดความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น ทำให้ส่งกระทบต่อเนื่องไปยังระบบซัพพลายเชนภายในประเทศ

โดยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี 65 ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและอัตราดอกเบี้ย นโยบายสหรัฐฯ แตกต่างกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับตัวสู่ระดับ 2.25-2.50% ณ สิ้นปี 65 จะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.75- 2% ซึ่งถือเป็นสถิติอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แตกต่างกันมากสุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/50 จากการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับสูง ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นก่อให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเบื้องต้นเดือนเม.ย. 65 มีเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคเอเชียกว่า 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การไหลออกของเม็ดเงินลงทุนจากภูมิภาคเอเชียเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลกระทบทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆในเอเชียอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลทำให้สกุลเงินหลักในเอเชีย ปรับตัวอ่อนค่าลง และสกุลเงินเยนของญี่ปุ่นทำสถิติอ่อนค่าสูงสุด โดยอ่อนค่าลง 5.5% จากเดือนมี.ค. 65 สำหรับค่าเงินบาทไทย ปรับตัวอ่อนค่าลง 3% จากเดือนมีนาคม โดย ณ สิ้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 34.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 33.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมี.ค. 65 ถือเป็นการอ่อนค่าของเงินบาทในรอบเดือนมากที่สุดตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 61 ทำให้ ttb analytics จึงได้ประเมินค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงเดือนพ.ค. 65 โดยประเมินกรอบค่าเงินบาทไว้ที่ 34.20-34.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จากความคาดหวังของตลาดต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิ.ย. 65

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 พ.ค. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top