สถาบันวิจัยป๋วยฯ แนะรัฐเร่งเสริมทักษะดิจิทัลให้ SME เพิ่มศักยภาพแข่งขันยุคเปลี่ยนผ่าน

นายรุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงาน PIER Research Brief ของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ (PIER Research) ว่า ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลเปรียบเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ด้านหนึ่งสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำที่ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย ไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการเริ่มต้นธุรกิจ และนำมาสู่ความทั่วถึงของการเป็นผู้ประกอบการ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำเพิ่มเติมจากการมีระดับทักษะด้านดิจิทัลที่แตกต่างกัน (digital divide) ของผู้ประกอบธุรกิจบางราย จนทำให้ไม่สามารถรักษาความสามารถการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้และนำมาสู่ช่องว่างของความมั่งคั่ง (wealth gap) ในที่สุด

ดังนั้น PIER Research จึงมีโครงการวิจัยศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็กในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อมุ่งเป้าที่จะสร้างดัชนีชี้วัดทักษะความรู้ด้านดิจิทัลของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็ก (SME digital literacy) และดัชนีชี้วัดระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล (SME digital transformation index) เพื่อทดสอบสมมุติฐานสำคัญว่าระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัล จะมีความเชื่อมโยงกับระดับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลหรือไม่ และการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลในระดับองค์กร (digitalization) จะสามารถนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน การเติบโต และการทำกำไรได้มากน้อยเพียงใด

นายรุ่งเกียรติ กล่าวว่า โครงการวิจัยนี้ พบหลักฐานสำคัญว่าผู้ประกอบ SME ในไทยส่วนใหญ่ มีระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัลต่ำ โดยเฉพาะภาคการผลิต และการส่งเสริมทักษะความรู้ด้านดิจิทัลเป็นนโยบายที่สำคัญที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของธุรกิจ จนนำมาสู่ศักยภาพการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมทักษะความรู้ด้านดิจิทัลที่ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ โดยเริ่มต้นจากทักษะความรู้พื้นฐานในการประกอบอาชีพ (cognitive skills และ soft skills) ไปจนถึงทักษะทางเทคนิค (digital skills) และทักษะการบูรณาการ (digital business strategy และ cybersecurity and data protection)

การมีระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัล จะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยกระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งผู้วิจัยได้เสนอดัชนีชี้วัดระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล 3 ระดับ ได้แก่

1. ระดับการประยุกต์ใช้ดิจิทัล (digitization) เช่น การใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ดิจิทัลในการประกอบธุรกิจ
2. ระดับการผนวกรวมดิจิทัลในการประกอบธุรกิจ (digitalization) เช่น การเพิ่มช่องทางขายด้านดิจิทัล และใช้ซอฟท์แวร์เฉพาะด้านเพื่อการประกอบธุรกิจ

3. ระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลแบบองค์รวม (digital transformation) เช่น การวิเคราะห์ฐานข้อมูลดิจิทัล และการออกแบบกลยุทธ์ธุรกิจดิจิทัล

นายรุ่งเกียรติ กล่าวว่า จากการสำรวจผู้ประกอบ SME จำนวน 2,014 กลุ่มตัวอย่าง ครอบคลุมทุกพื้นที่ในไทย และครอบคลุม 4 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ 1. การขายปลีกและ/หรือขายส่ง 2. การผลิต 3. บริการอาหารและเครื่องดื่ม และ 4. ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายใหม่ (gig workers) พบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

  • ผู้ประกอบธุรกิจ SME ในไทย มีระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัลที่ค่อนข้างต่ำ สะท้อนจากสัดส่วน 40% ของกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มมือใหม่ (digital infant) ที่มีระดับทักษะความรู้แบบลองผิดลองถูก และยังไม่สามารถใช้ทักษะดังกล่าวได้ในระดับพื้นฐาน
  • กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มีทักษะพื้นฐานด้านดิจิทัลสูง และสามารถบริหารความเสี่ยงด้านไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี (digital expert) มีการกระจุกตัวอยู่ที่บางกลุ่มเท่านั้น โดยจะมีลักษณะเด่นเป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก (คนทำงาน 11-100 คน) หรือเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระใหม่ และเจ้าของกิจการจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปเท่านั้น
  • ระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัลมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระดับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยระดับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่สูง สามารถสร้างความมั่นใจว่าผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถสร้างรายได้จากการประกอบธุรกิจที่สูงตามไปด้วย มีการเติบโตที่สูงกว่าคู่แข่ง มีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าคู่แข่ง และมีเป้าหมายการเติบโตที่สูงมากกว่า 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า
  • ผู้ประกอบธุรกิจ รายย่อยและขนาดเล็กในไทยที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสูงอยู่แล้ว ยังมีความพยายามที่จะหาแนวทางประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 เพื่อให้ธุรกิจได้รับประโยชน์จากวิกฤติดังกล่าวให้มากที่สุด

นายรุ่งเกียรติ กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล จนนำมาสู่ช่องว่างของความมั่งคั่งที่สูงมากขึ้นในอนาคต ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทักษะความรู้ด้านดิจิทัล และการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของผู้ประกอบการ ดังนี้

1. การส่งเสริมทักษะไม่ควรทำแบบเหมารวม แต่ควรมีโครงการเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจ SME ในไทยมีความหลากหลายของระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัล เช่น กลุ่ม digital expert ควรมุ่งเน้นให้สามารถบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างกลยุทธ์ธุรกิจ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ขณะที่กลุ่ม digital infant ควรส่งเสริมเฉพาะความรู้พื้นฐานด้านการประกอบธุรกิจ และการใช้อินเทอร์เน็ตและซอฟท์แวร์พื้นฐานในการติดต่อสื่อสารก่อน

2. การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล ควรทำอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบ โดยควรเริ่มต้นจากการมีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีความครอบคลุม มีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลที่เหมาะสมในระดับราคาที่ย่อมเยา ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มล้าหลังด้านดิจิทัล (digital laggards) สามารถเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลได้

หลังจากนั้นควรมุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมการใช้ซอฟท์แวร์พื้นฐานในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจกลายเป็นกลุ่มผู้ตามด้านดิจิทัล (digital followers) แล้วจึงส่งเสริมซอฟท์แวร์เฉพาะทางในการประกอบธุรกิจ จนเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่เรียกว่ากลุ่มประยุกต์ใช้ดิจิทัล (digital adopters) และสุดท้าย คือ การส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลและสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อการวิเคราะห์ต่อยอดทางธุรกิจ จนทำให้เป็นผู้นำด้านดิจิทัล (digital front-runners) ในที่สุด

3. การประยุกต์ใช้ดิจิทัลต้องมุ่งเป้าที่การเพิ่มยอดขายเป็นลำดับแรก เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจยอมรับ และมีความมั่นใจในการประยุกต์ใช้ดิจิทัล แล้วจึงค่อยส่งเสริมการประยุกต์ใช้ดิจิทัลเพื่อลดต้นทุน เพิ่มอัตราการทำกำไร และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top